ตอนที่ 2 พบคนรักของสามี
“เช่นนั้นท่านก็ต้องอดใจไว้ก่อน ทำตามอย่างที่นางว่าเสียก่อน” แม่นมสวีเอ่ยกล่อมอีกครา สายตามองใบหน้าคมคายของนายน้อยด้วยความเอ็นดูจนเผลอยิ้ม หากย้อนไปเมื่อครั้งก่อนแต่งฮูหยินน้อยเข้ามา...
คุณหนูรองมู่ชิง ฝาแฝดน้องของนายน้อย ก็มีนิสัยกระโดกกระเดกไม่ต่างกันนัก ไม่แปลกใจเลยที่นายหญิงผู้เฒ่าจะถูกชะตากับคุณหนูสามเหมยหลิน ถึงขั้นส่งแม่สื่อไปทาบทามไว้เสียแต่เนิ่น ๆ
“จะให้รอถึงเมื่อไรกัน” มู่เจ๋อบ่นอุบอิบ ซดน้ำชาจนแน่นอกแน่นท้องไปหมด สำรับมื้อกลางวันเหตุใดจึงยังไม่มาสักที หรือว่าผู้คนในเรือนนี้ไม่คิดฟังคำสั่งของเขาอีกแล้วกันแน่
“นายหญิงผู้เฒ่าเพิ่งจากไปไม่ครบสามเดือน ท่านก็พูดจายั่วยุนายหญิงเสียแล้ว นายหญิงเป็นคนเช่นไร ท่านเองก็รู้ดี นางรักษาคำพูดเสมอ ส่วนท่านต่างหาก... ที่เอาแต่พาล มิรู้จะโกรธอะไรนักหนา” แม่นมสวีเอ่ยพลางแย้มยิ้ม
พอเห็นท่าทางบึ้งตึงของนายน้อยก็ยิ่งชอบใจ น้อยนักที่ใครจะทำให้เขาเสียอาการได้ถึงเพียงนี้ คงไม่พ้นถ้อยคำของนายหญิงเหมยที่กระแทกใจเขาเข้าอย่างจัง
“ไยถึงกลายเป็นข้าที่ผิดไปได้เล่า...” เขาพึมพำ พลางจ้องใบหน้าแม่นมสวีที่ยิ้มแย้ม ทุกครั้งที่นางยิ้ม เขามักรู้สึกหวั่นใจอยู่ลึก ๆ หรือว่าคนสนิทของมารดาจะกลายเป็นพวกของเหมยหลินไปเสียแล้ว? เขาตัวคนเดียว... ในจวนนี้ไร้ที่พึ่งใช่หรือไม่
ตกลงแล้ว ใครกันแน่คือผู้อาศัย ใครคือเจ้าของ? เหตุใดเขาจึงเสียเปรียบอยู่ร่ำไป
“บ่าวก็แก่จนผมขาวโพลน ผ่านร้อนหนาวมานักหนา หากนายหญิงมิได้มีใจให้ท่านจริง เหตุใดจึงไม่ขอหย่าเสียแต่ต้นเล่าเจ้าคะ? ข้อเสนอที่นายหญิงผู้เฒ่าเขียนไว้ก็สูงเสียดฟ้า หากเป็นบ่าว จะรีบหย่าทันที แล้วไล่ท่านออกจากจวนให้ไร้ที่ซุกหัวนอนเสียด้วยซ้ำ”
ก่อนเดินจากไป หญิงชราทิ้งถ้อยคำชวนใคร่ครวญไว้เพียงประโยคเดียว “นายท่านลองตรึกตรองผลได้ผลเสียให้ดี เปิดใจให้นายหญิงน้อยบ้างเถิด... พวกท่านแต่งงานกันมาก็สองปีแล้วนะเจ้าคะ”
ขณะเดียวกัน เหมยหลินเดินทางถึงโรงน้ำชา นางก้าวลงจากรถม้าโดยมีเสี่ยวเสียงยื่นมือให้จับ นายหญิงน้อยสกุลมู่ งามสะดุดตาไม่เป็นรองผู้ใด
แต่ถึงจะงดงามเพียงไร ผู้คนก็มักมองนางด้วยสายตาประหลาด ไม่ใช่เรื่องอื่นใดก็เพราะนางอายุมากกว่าสามีเพียงสามปีเท่านั้น แต่กลับทำราวกับว่านางคือปีศาจร้ายกลืนกินบุรุษเสียอย่างนั้น
แม้จะเต็มไปด้วยสายตาจับจ้องและเสียงซุบซิบ เหมยหลินเพียงเหลือบมองด้วยหางตา แล้วแสยะยิ้ม “ข้า...เหมยหลิน มีอันใดให้พวกเจ้าสงสัย ก็เชิญถามมาได้เลย” นางยืนเท้าเอว สายตากวาดมองกลุ่มแม่นางน้อยที่ยังไม่ออกเรือนด้วยความไม่ใส่ใจ
เสี่ยวเสียงยืนกอดอกพูดเสียงแข็ง “วันนี้นายหญิงของข้ามิได้มาหาเรื่อง แต่หากพวกเจ้ายังไม่หุบปาก... ก็อย่าโทษว่านายหญิงของข้าไร้ความเกรงใจ!”
เหล่าแม่นางน้อยพากันเบ้ปาก ก่อนจะพากันหันหน้าหนี หาได้สนใจเสียงนกเสียงกาไม่
เหมยหลินแค่นหัวเราะเบา “เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” แม้ถ้อยคำจะเอ่ยเพียงแผ่ว แต่กลุ่มแม่นางน้อยที่อยู่ไม่ไกลนักก็ได้ยินชัดเจน
หนึ่งในนั้นคือคุณหนูหลิว...หลิวหลี คนรักของมู่เจ๋อ นางลุกขึ้นยืนอย่างนุ่มนวล ท่วงท่าน่ารักสดใสราวบุปผาแรกแย้ม หากแต่ดวงตาแพรวพรายคล้ายจิ้งจอกเก้าหาง
นางย่างเท้าเข้ามา หยุดอยู่ตรงหน้าเหมยหลิน “พี่สาว เหตุใดจึงกล่าววาจาไม่น่าฟังเยี่ยงนี้ มิทราบว่าตระกูลเหมยสั่งสอนบุตรีเช่นนี้หรือเจ้าคะ?”
เหมยหลินใช้นิ้วเรียวเคาะพัดลงบนไหล่หลิวหลีอย่างจงใจ “ข้าก็ใคร่รู้เช่นกัน ว่าตระกูลหลิวสั่งสอนบุตรีอย่างไร ถึงได้กล้านัดพบสามีของผู้อื่น พลอดรักไม่รู้จักอายฟ้าดิน มิหนำซ้ำยังมิได้ออกเรือนแท้ ๆ ก็กระทำตนฉาวโฉ่เสียแล้ว หากข้าเป็นมารดาของเจ้าคงมิกล้าสู้หน้าเครือญาติอีกเลยกระมัง”
“เจ้าพูดเกินไปแล้ว!” หลิวหลีหน้าแดงก่ำ ฝ่ามือกำชายกระโปรงแน่น ดวงตาวาววับด้วยเพลิงโทสะ
เหมยหลินหัวเราะเบา ๆ ดวงหน้าประดับรอยยิ้มเยาะ “อะไรเล่าเรียกว่าเกินไป? พวกเจ้าว่าร้ายข้าเสียตั้งนาน เหตุใดยังไม่ตักน้ำมองเงาหน้าตนเองบ้าง?”
นางยกพัดขึ้นกระซิบชิดใบหูอีกฝ่าย แววตาเย้ยหยัน “ต่อให้แต่งเข้ามา เจ้าก็ได้แค่เป็นฮูหยินรองท้ายจวน”
คนที่เดินลงรถม้าอีกคัน ก็คือหนึ่งในสตรีชนชั้นสูง วันนี้นางได้เทียบเชิญมารับฟังการสนทนา แต่ไม่คิดว่าได้พบกับนายหญิงเหมยอยู่ตรงนี้ เห็นนางปะทะคารมกับเหล่าสตรียังไม่ออกเรือน
เกรงว่าหัวข้อการสนทนาในวันต่อไปก็คงไม่พ้นฮูหยินน้อยผู้นี้ นางคิดว่าเชื้อเชิญเหมยหลินขึ้นไปด้านบนเสียดีกว่า...ดีกว่าพูดจากับพวกไม่รู้กาลเทศะ “เหมยหลิน อย่าได้ต่อปากกับพวกนางเลย ขึ้นไปข้างบนเถอะ”
ทว่าถ้อยคำของเหมยหลินที่พูดมา ทำให้หลิวหลีตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าร้อนผ่าวดุจไฟสุม นางกัดฟันแน่น หันขวับไปคว้าจอกน้ำชาบนโต๊ะไม้ใกล้มือ น้ำชาร้อนยังมีควันบางลอยขึ้น นางง้างมือหมายจะสาดใส่หน้าเหมยหลินให้สาใจ!
เคร้ง! เสียงกระเบื้องกระทบไม้สะท้อนขึ้นกลางโรงน้ำชา
แต่ยังไม่ทันน้ำชาจะลอยถึงเป้าหมาย เหมยหลินเบี่ยงกายหลบหลีกอย่างคล่องแคล่วชำนาญนัก นางพลิกตัวไปด้านข้างในพริบตาเดียว พัดในมือสะบัดกลับมาอย่างสง่างามราวบทเต้นรำ แล้ว…
ตุ้บ! เสียงเท้าของเหมยหลินกระทบเข้าที่ก้นงอนของคุณหนูหลิวเต็มแรง
“โอ๊ย!” เสียงหวีดร้อง ของหลิวหลีดังก้องในบรรยากาศเงียบงัน ร่างของนางพุ่งไปข้างหน้า ใบหน้ากระแทกกับขอบโต๊ะ จนถ้วยชาสั่นคลอน หลายจอกร่วงหล่นเสียงกราว ผู้คนในโรงน้ำชาหันมามองเป็นตาเดียว เสียงหัวเราะกระซิบกระซาบพลันตามมาไม่ขาดสาย
เหมยหลินยืนนิ่ง แววตาเฉียบคมไร้ไหวติง สะบัดชายเสื้อคล้ายฝุ่นสกปรกเกาะติด แล้วกล่าวเสียงเย็น
“บุปผางามใดไร้มารยาท ก็มิควรอวดกลีบเกสรท่ามกลางแสงตะวัน” นางหันหลัง เดินขึ้นชั้นสองไปอย่างสง่างามโดยมีเสี่ยวเสียงตามติด ส่วนเบื้องหลัง
หลิวหลีนั่งกุมหน้า กลั้นน้ำตาไม่อยู่... ความอับอายแล่นริ้วไปทั่วร่าง นางไม่เคยถูกผู้อื่นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเช่นนี้มาก่อนในชีวิต พลางพึมพำขึ้นมาว่า “คอยดูเถิด ข้าจะให้เขาหย่ากับเจ้าให้ได้ นางแพศยา”
“เหมยหลิน เจ้าทำเกินไปหรือไม่ นางยังเยาว์นัก ไร้เดียงสา เหตุใดจึงต้องดุนางถึงเพียงนั้น?” เสียงของจ้าวจูเซี่ยดังขึ้นอย่างอ่อนโยน ขณะมองสบตาสหายไม่วางสายตา ข้างกายมีเสี่ยวเสียง สาวใช้ของเหมยหลิน ตามหลังมาด้วยอาจือ สาวใช้ประจำตัวของจูเซี่ย ทั้งสองรู้จักกันมานานปี คุ้นเคยจนพูดจาอย่างเปิดเผยได้โดยไม่ถือสา
“หากข้าไม่ข่มไว้บ้าง นางย่อมได้ใจ คิดว่าข้ายอมแล้วจะขึ้นหน้าขึ้นตา” เหมยหลินบ่นพึมพำคล้ายพูดกับตนเอง นางเป็นสตรีอายุยี่สิบสาม ปีนี้หากยังอยู่ที่เมืองเหอหยาง คงมิกลัดกลุ้มเช่นนี้ นางไม่น่ารับปากบิดากลับมาแต่งงานเพื่อทดแทนบุญคุณเลย
“ฆ่าได้หยามไม่ได้” คำพูดติดปากของนาง ใครเล่าจะไม่รู้จัก จูเซี่ยถอนหายใจพลางกล่าวเบา ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าเก็บงำความรู้สึกเก่งเพียงใด แต่ลองคิดให้ดีเถิด ใครบ้างไม่อิจฉาเจ้า แต่งงานกับสามีทั้งหนุ่มทั้งรูปงามซ้ำยังเด็กกว่าเจ้าอีก ไม่ดีตรงไหนกัน”
