บทที่ 3
“เป็นอะไรไป”
พรพราวมองดูเพื่อนหนุ่มที่มีสีหน้าไม่ใคร่จะดีนัก เธอชวนคุย ชวนพูดอะไร ก็ดูเหมือนสติ สมาธิของเขาจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย กฤชพลมองเหม่อไปไกล เหมือนถอดวิญญาณไปอยู่อีกที่หนึ่ง
“เครียดๆ นิดหน่อย”
เขาว่า พรพราวขมวดคิ้ว เธอเอียงคอมองเพื่อนสนิท กฤชพลตอบเธอแต่ตาไม่มองเธอเสียด้วยซ้ำ
“จริงสิ...นนท์กลับมาเมื่อวาน นัดกับเราว่าจะไปดริ๊งค์กัน ไปด้วยกันไหมล่ะไอเฟล”
“อืม...ก็ดี” ปากตอบแบบนั้น แต่ใจเขาแทบจะไม่รับรู้ ภาพที่เห็นเมื่อวานทำให้เขาช็อก
ตอนแรกก็เพียงเข้าข้างตัวเอง ว่าเธอจะไม่ทรยศเขา
แต่เมื่อเขานั่งรอตรงนั้น และรอจนทั้งคู่ดูภาพยนตร์จบ เขาขับรถตามรถมินิคูเปอร์ของบุรินทร์ไปห่างๆ จนรู้ว่าทั้งคู่มีเป้าหมายที่ไหน?
แค่นั้นทุกอย่างก็พังทลาย
เธอ...ทำกับเขาได้อย่างไร
บุรินทร์...ทำไมทำแบบนี้กับเขาทั้งที่มีคนรักอยู่แล้ว
ใจของเขาวนเวียนแต่คำถามซ้ำไปมา เขาไม่อาจจะทนนั่งทำงานได้คนเดียว เพราะใจไม่มีสมาธิเลย เขาจึงเลือกมาหาพรพราว บอกว่าจะเอาแผ่นเสียงมาให้เธอ
ใจหนึ่งอยากจะอ้าปาก เอ่ยบอกสิ่งที่คับอกข้องใจ แต่เขาไม่อาจจะเอ่ยบอกออกมาได้ เขาจึงได้แต่นั่งนิ่ง ปล่อยให้ทุกอย่างหนักอึ้งอยู่ในใจ เขายังไม่พร้อมจะเอ่ยเรื่องเลวร้ายนี้ให้ใครได้ยินได้ฟัง
คนรักกับน้องชาย!
เหมือนในบทเพลง เหมือนในละครน้ำเน่า แต่นี่มันคือสิ่งที่เกิดกับเขาจริงๆ เขาเป็นคนรักที่ดีไม่เคยนอกใจเอรินแม้แต่หนเดียว ทั้งที่มีโอกาสมากมาย จากฐานะและหน้าตาของเขา
กฤชพลเป็นถึงเดือนคณะ เป็นรุ่นพี่ที่ป๊อบปูล่ามากที่สุดเลย ด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น ชายหนุ่มเป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส ผมของเขาสีน้ำตาลอ่อน คิ้วเข้มได้รูป นัยน์ตาคมกริบชวนฝัน เวลายิ้มนั้นมีเขี้ยวเสน่ห์ทั้งสองข้าง เขาถูกเรียกลับหลังว่าแดร๊กคูล่ารูปหล่อ ก็คงจะเพราะเขี้ยวเล็กๆ นี่ที่เป็นจุดเด่น
และเมื่อเขาเลือกเธอ เอริน รุ่นน้องสาวที่น่ารักสดใส สาวสวยหุ่นดีสุดเปรี้ยวมีฐานะ แถมเป็นดาวคณะ พวกเขาและเธอจึงเหมาะสมกันยิ่งนัก และควงคู่เป็นคู่รักตัวอย่างเลยก็ว่าได้
ยิ่งคิดยิ่งแค้น!
เขายังคงนั่งเหม่อลอย ถามคำตอบคำอยู่แบบนั้น จนพรพราวนึกห่วง และเธอจะต้องรู้ให้ได้ว่ากฤชพลเป็นอะไรไปในคืนนี้
.........................................................................................................................................................................................................
“ดื่มอีกแก้วสิยัยเอย แหม...จะกลัวอะไรล่ะ อายุเกินแล้ว ดื่มได้แล้วย่ะ”
“หรือว่ากลัวว่าพี่บอมจะมาเห็น ไม่เห็นหรอก ทางสะดวก อิอิอิ เช็คมาล่ะเรียบร้อย พี่บอมของเธอไปดูแข่งรถย่ะที่ชลบุรี”
“คือ...”
เอย หรือนิราอรกลืนน้ำลาย พลางมองน้ำสีอำพันในแก้ว มันไม่ได้อร่อย...ไม่ได้รสชาติดีน่าลิ้มลองเลย แถมดื่มไปแล้วก็พะอืดพะอมนิดๆ
“ถ้ากลัวว่าขม เติมโค้กสิจ๊ะ”
ว่าแล้วเพื่อนสาวก็รินน้ำอัดลมใส่ในแก้วเหล้าให้นิราอร และเพื่อนๆ ในโต๊ะก็เริ่มส่งเสียงเชียร์
“เอ้า ดื่มเลย ดื่มเลย ดื่มเลย!”
“ถ้าไม่ดื่มถือว่าป๊อดนะยะยัยเอย”
“ถ้าดื่มไม่หมดไม่ไปส่งบ้าน”
คำหลังนี่แหละทำให้นิราอรกลั้นใจดื่มจนหมดแก้ว มันไม่ได้ขมขื่นมากเหมือนตอนแรก แต่เธอก็ยังไม่ชอบรสที่ติดปลายลิ้นนิดๆ นี่อยู่ดี เมื่อเห็นว่าเธอดื่มหมดแล้ว คนข้างๆ ก็ขยันรินเหล้าให้เธอเพิ่มอย่างไม่ถามสักคำว่าจะดื่มต่อไหม?
“ยัยส้ม!”
“อะไรยะ”
วิภาณีที่มึนๆ เข้าไปแล้วหัวเราะร่วน แน่ล่ะเธอไม่พลาดโอกาสมอมเพื่อนหรอก เพราะนี่เป็นครั้งแรก ที่ล้วงไข่ในหินแบบนิราอรออกมาจากอกพ่ออกแม่ได้ อ้อ...ต้องแถมอกแฟนหนุ่มของเธออีกด้วย ทุกคนหวงเธอมาก
ก็น่าจะหวงอยู่หรอก นิราอร เพื่อนของเธอ เป็นหญิงสาวบอบบาง ร่างราวกับจะปลิวลม เธอสูงไม่ถึงร้อยหกสิบเซนติเมตร ตัวนิดเดียวลมพัดมาก็แทบจะปลิว ใบหน้านั้นน่ารักจิ้มลิ้ม แม้จะไม่สวยบาดตา แต่หากได้มองแล้วก็ไม่อาจจะละสายตาได้ง่ายๆ ถ้าเกิดเห็นรอยยิ้มของนิราอรเข้า เพราะรอยยิ้มที่ใสซื่อ รวมกับลักยิ้มบุ๋มนิดๆ นั่น มันทำให้นิราอรกลายเป็นขวัญใจของใครหลายๆ คน
เพื่อนทุกคนก็รักและหวงเธอพอกันๆ นิราอรเหมือนตุ๊กตาของเพื่อนในกลุ่มที่ทุกคนปกป้อง ดูแลเป็นอย่างดี ขนาดบุรินทร์แฟนของเธอ ก็ยังโดนพลังหวงจากเพื่อนๆ ไม่ค่อยจะทิ้งจะปล่อยให้อยู่กันสองคนมากนัก เพราะไม่ไว้ใจฝ่ายชาย
นิราอรเหมือนหนูน้อยหมวกแดง ส่วนบุรินทร์นั้นยังกับหมาป่า!
“ไม่เอาแล้ว” นิราอรโบกมือ สามแก้วแค่นี้เธอก็มึนหัวไปหมดแล้ว
“นานๆ ทีน่า ทำอะไรหลุดกรอบบ้างสิ ยัยเอย”
วิภาณีที่พอเมาแล้วก็เริ่มยุเพื่อน เริ่มสนุก แน่ล่ะที่ชวนเพื่อนมาในวันนี้เพราะอยากให้นิราอรได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เปิดโลกบ้าง
เผื่อจะเปิดหูเปิดตา...เจอะเจอะอะไรใหม่ๆ บ้าง
“จริงด้วย น้องเอิงเอยของพี่ตาต้า”
เพื่อนสาวอีกคนในกลุ่มทรุดลงนั่งข้างนิราอรก่อนจะโอบแม่ตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน เธอมองกวาดไปที่วงหน้าจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อยนั้น แล้วย่นจมูกน้อยๆ พร้อมกับล้วงเอาลิปสติกออกมา
“หน้าจืดมาก เติมนิดสิที่รัก โอ๊ย...ไฟมืดมองไม่เห็นเลยอะ”
“แกจะมาแต่งหน้าให้เพื่อนในวงเหล้าในเธคนี่นะ คงจะเห็นอะไรล่ะย่ะ”
“งั้นไปๆ ไปห้องน้ำกับพี่ตาต้า พี่จะพาน้องเอยพบประสบการณ์ใหม่ เรามาแต่งงามแอ๊วผู้กานนนน”
เสียงยานคานขนาดนั้นบอกดีกรีได้เป็นอย่างดี วิภาณีมองตามแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เมื่อเตชิลาลากนิราอรไปอย่างทุลักทุเล โดยอีกฝ่ายหนึ่งไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“ใครลากยัยเอยออกมาสำเร็จวะ”
เตชินทร์ว่า วันนี้กลุ่มของเขามากันทั้งหมดเจ็ดคน ซึ่งแต่ล่ะคนก็ตึงๆ กันไปแล้วทั้งนั้น มีทั้งผู้หญิงผู้ชายที่สนิทสนมรวมกลุ่มกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง
“ฉันเอง” วิภาณียกมือ
“เจ๋งอะ แกทำยังไงให้พ่อแม่ยัยเอยยอมวะ”
“แค่เสนอหน้าสวยๆ เข้าไป ก็จบล่ะ บอกว่าแม่ขาพ่อขา พร้อมกับก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์งามๆ อีกหน บอกด้วยเสียงสองนางงาม ว่าจะขอพาเอยไปเที่ยวงานวันเกิด จะต้องค้างต่างจังหวัดด้วยนะคะ แค่นี้อะค่ะ”
“เริด!”
เสียงปรบมือดังกราวขึ้นในหมู่เพื่อนทันที วิภาณีลุกขึ้นโค้งไปรอบๆ ก่อนจะยิ้มสวยๆ ส่งให้ แล้วก็รับแก้วเหล้าเติมเพิ่มจากคิมหันต์มือชงเหล้าประจำกลุ่ม
“แล้วคนที่แกนัดไว้อะ มาหรือยังวะไอ้ชิน”
เตชินทร์ป้องมือดูแล้วกวาดตาไปรอบๆ เธค ผู้คนมากมายกำลังเบียดเสียดสนุกสนานกับเสียงดนตรีทีเปิดไว้กระหึ่มอย่างเร้าใจ พลางสั่นหน้า
“ยังเลย ฉันล่ะกลัวว่าไอ้พี่แพทจะเล่นอาร์โอวีจนลืมหรือเปล่าวะ โทรไปก็ไม่ติดอะ”
“โห ถ้าไม่มานี่เสียเวลาเปล่าเลยนะ ฉันอุตสาห์ไปจกยัยเอยออกมาได้ ยุให้กินเหล้าไปด้วยอะ” ภาวิณีโวย
“เอาน่า...ไม่มาก็ช่างประไร ผู้ชายเยอะแยะ เราก็มองหาที่ดีๆ ให้เพื่อนสิยะ”
เสียงของญาตาดังแทรกขึ้น แล้วเอามือป้องตาพร้อมกับสอดส่ายมองหาผู้ชายที่ว่า ‘งานดี’ เหมาะกับเพื่อนรัก
“นังแจ๊ส ฉันเจอผู้ชายลูกครึ่งที่แปดนาฬิกา”
แจ๊สสาวประเภทสองที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์เปิดแอพหาพวกเดียวกันอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาทันที
“ไหนยะไหน!”
ญาตาชี้มือไปยังเป้าหมาย แล้วสองสาวก็มองตากัน ก่อนจะเดินปรี่เข้าไปทันทีในมือถือเหล้าคนล่ะแก้ว ดูอาการแล้วท่าจะไม่ไปจิกให้เพื่อนหรอก ท่าจะจิกให้ตัวเองนั่นล่ะ
“มันไปกันล่ะ ดู๊”
เตชินทร์อดหัวเราะขำไม่ได้ เขาทรุดลงนั่งข้างภาวิณีก่อนจะบ่นพึมพำ
“นี่ยัยส้ม หล่อนเอาจริงหรือเรื่องหาแฟนใหม่ให้ยัยเอยน่ะ แล้วพี่บอมของมันล่ะ”
“ไอ้หมาป่านั่นน่ะนะ” ภาวิณีทำเสียงชนิดหนึ่ง เหมือนพร้อมจะขากและถุยออกมากับการได้ฟังชื่อของบุรินทร์
“โอ๊ย...ยุให้เลิกสามเวลาอะ เกลียด!”
“ไปเจออะไรมาล่ะ”
เตชินทร์ท้าวคาง มองหน้าเพื่อนที่ดูหน้าบึ้งตึงอย่างหนัก เมื่อเอ่ยถึงเรื่องคนรักของขวัญใจในกลุ่มอย่างนิราอร
“เหอะ...ไม่ได้เจอคนเดียวนะ เดี๋ยวจะหาว่าคิดปรักปรำ นังหวาน นังแจ๊สก็เห็น ลูกกะตาสามคู่ของพวกฉันเห็นพร้อมๆ กันเลย”
“เข้าใจผิดหรือเปล่า? แล้วทำไมไม่บอกยัยเอยตรงๆ วะ”
“ไม่อะ แกก็รู้ว่ายัยเอยเป็นยังไง ขืนบอกตรงๆ จะไหวหรือเปล่าเหอะ”
ภาวิณีถอนใจเฮือก ทำท่าจะพูดอะไรต่อ หากเสียงของเตชิลาก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน
“มาแล้ว น้องเอยของพวกเรา”
เธอลากนิราอรที่โดนประโคมเครื่องสำอางไป จนหน้าตาเปลี่ยนไปนิดหน่อย แถมยังโดนจับเกล้าผมขึ้นสูง และยึดเสื้อไหมพรมสีหวานแขนยาวที่สวมทับไว้ไปด้วย ตอนนี้นิราอรเหลือเพียงชุดเดรสกระโปรงสีขาว แขนกุด คอวี ชายกระโปรงแต่งลายดอกไม้และลูกไม้ถัก กอปรกับที่เตชิลาแต่งหน้าให้เธอเข้มขึ้นนิดหนึ่งแต่ก็จำต้องเลือกโทนสีหวานเพราะมันเข้ากับเพื่อน จะให้แต่งเปรี้ยวปากแดงเลยก็ไม่ใช่ที่ นิราอรจึงยิ่งกลายเป็นสาวหวานเจี๊ยบ ลุคคุณหนูที่อยู่ผิดที่ผิดทางอย่างไรพิกลกับสถานที่ปาร์ตี้สุดเหวี่ยง ที่มีประชากรสาวๆ เลือกจะแต่งตัวเปิดมากกว่าปิด และเซ็กซี่กันแบบไม่มีใครยอมใคร
“ว้าว”
เตชินทร์ถึงกับกะพริบตาปริบๆ มองนิราอรตาค้างไปเลย นิราอรเหมือนกุหลาบดอกสีขาวสวย ที่ผุดขึ้นมากลางดอกไม้หลากสีสัน ทำให้เธอโดดเด่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“เพื่อนนะ” ภาวิณีสะกิด แล้วทำตาวาวใส่ “เดี๋ยวจะฟ้องเมียแก”
“หูย แรง...ก็แค่เพื่อนสวยอะ ก็แค่มองรึเปล่าฟะ”
“โทรจิกพี่แพทของแกต่อไป ไอ้ชิน” เจ้าแม่สั่งมา ก็ต้องจัดไป ภาวิณีชวนนิราอรดื่มอีกแก้ว เจ้าหล่อนโบกมือก็แล้ว สั่นหน้าก็แล้ว สุดท้ายก็โดนกรอกอยู่ดี
แล้วหมดแก้วที่สี่ นิราอรก็โดนเพื่อนๆ ลากไปกลางเวที หน้าดีเจ ที่กำลังเปิดเพลงมันสุดเหวี่ยง