CHAPTER 4 ความฝันที่เป็นจริง? (1/3)
ทว่าจู่ๆ พัฒน์ก็มายืนตรงหน้าบังสายตาที่ผมกำลังทอดมองชิรัน ผมขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมอง เขาเองก็กำลังจ้องผมราวกับผมทำสิ่งผิดบาป อะไรของหมอนี่
“ขึ้นรถ” ผมจ้องหน้าพัฒน์ได้เพียงครู่ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วสอดตัวเข้านั่งตำแหน่งข้างคนขับ ไม่นานเขาก็เข้ามาในรถสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“มึงนี่มันดูขัดขวางความสุขจริงๆ”
ผมบ่นเบาๆ กับตัวเองแต่คนข้างๆ กลับได้ยิน
“มึงชอบไอ้หล่อนั่นเหรอ” ช่างเป็นคำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะออกมาจากปากของผู้ชายคนนี้
“ชอบดิ ชอบมากด้วย เขาคือแสงสว่างในชีวิตกูเลยนะ แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาแบบใกล้ๆ ขนาดนี้”
“พูดซะเว่อร์”
“เรื่องจริง แล้วช่วยให้เกียรติ เรียกเขาดีๆ ด้วย ไอ้สัตว์” ผมพูดอย่างมีน้ำโห เมนข้าใครอย่าแตะ
“มึงคงชอบมันมาก ขนาดโดนกูทำร้ายยังไม่เห็นโกรธขนาดนี้”
“ใช่สิ เขาคือกำลังใจที่ทำให้กูอยากมีชีวิตต่อไป” สิ้นคำนั้นพัฒน์หันมามองผมด้วยนัยน์ตาฉงน
“ทำไม”
“เรื่องมันยาว ขี้เกียจเล่า”
“เออ เรื่องของมึง” พัฒน์กระแทกเสียงใส่ผมราวกับน้อยใจจนเกิดเดดแอร์ขึ้นระหว่างเรา ผมจึงถามคำถามที่ยังคาใจ
“ว่าแต่มึงหายไปไหนตั้งหลายวัน” พัฒน์นิ่งก่อนจะละสายตาจากกระจกหน้ารถมามองผมเล็กน้อย
“มีอะไรให้คิดนิดหน่อย”
“ฮึ? อะไร”
“เสือก” โธ่เอ๊ย อย่าตั๊นหน้ามันซะดอกจริงๆ ไม่น่าคาดหวังเลยว่าจะได้รับคำตอบดีๆ กลับมา หลังจากนั้นผมนั่งกอดอกปล่อยให้ความเงียบทำงาน ขี้เกียจคุยกับแม่งล่ะ หงุดหงิด
“หาอะไรกินกัน”
“ไม่!”
“กูเลี้ยง”
“โอเค”
คำเดียวจบ
ผมนั่งจ้องโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะแลคเชอร์พลางยกมือขึ้นมาประสานกันราวกับต้องการสวดภาวนาให้มันดังขึ้นมาเป็นแบบนี้อยู่หลายวันแล้วหลังจากที่แคสติ้งเสร็จในวันนั้น
“มันทำอะไรของมัน” นิวตันถามขึ้นอย่างฉงนเมื่อเห็นผมอยู่ในอาการนี้มาสักระยะแล้ว
“นั่นสิ รอสายใครอยู่เหรอ”
“รอทีมงานน่ะ”
“ฮะ?” นิวตันกับอะตอมหันมองหน้าพัฒน์จนเขาต้องถอนหายใจเพราะขี้เกียจพูด
“วันก่อนกูกับมันไปแคสติ้งซีรีส์มา”
“อ๋อ รอผลอยู่นี่เอง” พัฒน์ยักไหล่แทนคำตอบ
Rrr
วินาทีที่โทรศัพท์ดังผมใจหายวูบรีบกดรับสายทันที ทว่า…
[มีพัสดุมาลงให้วางไว้ไหนดีครับ] ผมนี่แทบจะปามือถือทิ้งเลย อยากจะตะโกนด่าซะเหลือเกินจะวางตรงไหนก็วางเถอะพี่!
“เคาน์เตอร์เลยครับ!” แอบกระแทกเสียงแล้วกดวางทันทีอย่างหัวเสีย “ขนส่งแม่งจะโทรมาทำไมตอนนี้วะ คนยิ่งลุ้นๆ อยู่”
ผมบ่น กลับมาอยู่ท่าสวดภาวนาท่าเดิม แต่เพื่อนๆ ที่นั่งข้างๆ กับหัวเราะเสียงใส
“โอ๊ย อะไรมันจะลุ้นขนาดนั้น”
“ไม่ได้สิ นี่มันนาทีชีวิตเลยนะ” แม้จะเคยแคสติ้งมาหลายครั้งและไม่ผ่านหลายรอบแล้ว ทว่าต่างกลับคราวนี้ผมรู้สึกได้ว่าครั้งนี้มันพิเศษกว่าครั้งอื่น เซนส์มันบอกว่าผมจะได้ในรอบนี้ โอ๊ย ลุ้นเว้ย
Rrr
ผมรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับอีกครั้งด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก
[ทางเรามีโปรโมชั่นพิเศษจะนำเสนอ…]
“ไม่สนใจครับ!” โว้ยยยย ผมรีบกดตัดสายทันที “โทรมาไม่รู้เวล่ำเวลาเลย! แม่งเอ๊ย!”
ผมหงุดหงิดมากคราวนี้แทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์จริงๆ แหละ แต่ยังต้องใจเย็นไว้ก่อน ยังคงต้องพึ่งมันอีกนาน
“นู่นมาอีกสายแล้ว” นิวตันพูดพลางเหล่ตามาที่โทรศัพท์ของผม คราวนี้ผมชักสีหน้าเซ็งอะไรอีกล่ะคราวนี้
“ฮัลโหล!” ผมแทบจะตะคอกใส่ปลายสายด้วยความหงุดหงิด คราวนี้ถ้าเป็นพวกไร้สาระอีกจะด่าแม่งให้วอดวายเลย รำคาญ วันอื่นล่ะเงียบเป็นป่าช้าแต่วันนี้กลับโทรกันมาจัง น่าหงุดหงิด!
[พี่เป็นทีมงานจากซีรีส์ XXX จะโทรมาแจ้งผลแคสติ้งนะคะ]
ผมชะงักกึก หัวใจเกือบหยุดเต้นเมื่อได้ยินประโยคนั้นที่รอคอย
“คะ ครับ” ผมยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายที่หัวใจกำลังเต้นโครมครามอย่างลุ้นระทึก ผ่านๆๆ ขอให้ผ่านๆๆ
[ทางเราขอแจ้งว่าคุณภีรภัทร….] ตื่นเต้นจนหายใจไม่ทันล่ะเว้ย ลุ้นนน [ผ่านการแคสติ้งในบทตะวันค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ]
ราวกับเวลาหยุดเดินและโลกหยุดหนุม ประโยคที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินวันนี้กลับได้ยินอย่างชัดเจนแต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย มันเหนือความคาดหมาย…จากที่คิดว่าได้บทเล็กๆ ก็พอแล้ว แต่ตะวันคือตัวละครนำในเรื่อง ไม่อยากจะเชื่อ…
“…”
[เดี๋ยวทางเราจะส่งรายละเอียดให้ทางอีเมล์อีกครั้ง พร้อมนัดหมายวันเซ็นสัญญานะคะ]
“…”
[แล้วเจอกันนะคะ ขอบคุณค่ะ]
ตู๊ดๆๆ
ทีมงานวางสายไปแล้ว แต่ผมยังคงตาเบิกกว้างนิ่งค้างในท่าโทรศัพท์แนบหูเหมือนเดิมราวกับได้ถูกแช่แข็ง จนกระทั่งโดนนิวตันเขย่าตัวนี่แหละจึงหันไปมองหน้ามันและเลื่อนสายตามาที่พัฒน์ซึ่งมองผมอย่างฉงน
“กูผ่านแล้วว่ะ” ผมฉีกยิ้มกว้าง ขอบตาร้อนผ่าวแล้วไม่รู้คิดไรอยู่ตอนนั้นจึงโผเข้ากอดพัฒน์โดยไม่กลัวเลยว่าจะโดนต่อยกลับมาเพราะเผลอแตะตัวมันตอนเผลอ แต่มันกลับนิ่งปล่อยให้กอด
“จริงดิ!” ประโยคนี้ไม่ใช่ของพัฒน์แต่เป็นของนิวตัน มันเองก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เออดิ ได้บทนำด้วย ขอบคุณมึงมากนะเว้ยพัฒน์” ผมผละออกจากตัวเขาแล้วยิ้มกว้างขอบคุณมันทั้งน้ำตารื้น มันเองก็เบิกตากว้างมองผมเช่นกัน คงตกใจเหมือนกันสินะที่ผมได้บทนำ
“เชี่ย เพื่อนกูจะได้เป็นดาราแล้ว!” นิวตันโพล่งขึ้นมาอย่างดีใจตั้งท่าจะกอดผมเช่นกัน แต่โดนพัฒน์ที่นั่งคั่นกลางดันตัวออกไปอย่างรำคาญ
“ดังแล้วอย่าลืมพวกกูนะ” อะตอมยิ้มอย่างยินดี
“อื้ม แน่นอน”
“พัฒน์มึงจะไม่พูดไรหน่อยเหรอ” ผมหันกลับมามองพัฒน์อย่างคาดหวัง
“งั้นคืนนี้ไปดื่มกัน กูเลี้ยงเอง”
“เชี่ย ป๋าโคตร แต่กูชอบบบบ” นิวตันว่าอย่างลิงโลด
ผมยิ้มกว้างยกมือขึ้นปาดน้ำตาแห่งความยินดี ต่อไปนี้ผมก็ไม่ต้องทำพาร์ทไทม์จนหามรุ่งหามค่ำอีกแล้ว ไม่ต้องวิตกกังวลจนนอนไม่หลับว่าจะมีตังค์จ่ายค่าห้องมั้ย ไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกต่อไปแล้ว อีกไม่นานก็จะย้ายไปอยู่ที่ดีๆ ได้กินอาหารดีๆ ฮืออ ชีวิตผมกำลังจะดีขึ้นแล้ว ฟ้าหลังฝนแม่งมีจริงว่ะ
“สัตว์เอ๊ย ดีใจว่ะ” ทั้งที่เช็ดน้ำตาออกแล้วแต่มันก็ยังคงไหลราวกับได้ปลดปล่อยสิ่งที่กดทับอยู่ในใจมาเป็นเวลานานแสนนาน ยิ่งมีฝ่ามือหนึ่งวางลงบนไหล่ผมแล้วพูดว่า
“เหนื่อยมามากนะมึง” ผมมองพัฒน์พลางฉีกยิ้มกว้าง
“เออ จะได้สบายสักที”
