บทที่2 ข้อตกลง
ร่างสูงค่อยๆขยับตัว ลำแขนแกร่งตั้งใจจะยกพาดลงบนร่างอุ่น หากพบเพียงแต่ความว่างเปล่า อาการปวดหัวแล่นขึ้นมาจนคนที่กำลังจะลุกต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
อ๊า...เมื่อคืนเขาไปดื่มกับใครมาวะ ทำไมถึงได้เมาค้างขนาดนี้ แล้วไอ้ความรู้สึกว่าเพิ่งนอนกอดใครนี่มันอะไรกันนะ
มือใหญ่ยันลงบนที่นอนนุ่มช่วยพยุงร่างสูงให้ลุกขึ้นนั่ง มืออีกข้างยกขึ้นคลึงขมับไล่อาการปวดหัวตุบๆ เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนกันแน่วะเนี่ย เขาไปหิ้วสาวที่ไหนกลับมานอน ถึงแม้สมองยังจำไม่ได้ แต่ร่างกายเขาฟ้องอย่างนั้น เมื่อคืนนี้เขานอนกอดร่างอุ่นๆ อีกร่างแน่ๆ
แย่ชะมัด....
ปกติเขาไม่เคยให้ใครค้างอยู่ด้วยเลยซักคน ร้อยละร้อยเขาเลือกโรงแรมมากกว่าห้องตัวเอง กันความเป็นส่วนตัวออกจากเรื่องทำนองนี้ ผู้หญิงบางคนก็ชอบตื๊อ ใช่จะจบแล้วต่างคนก็ต่างกลับเสียทุกคน อีกอย่างกว่าจะพาใครขึ้นเตียงเขาก็ต้องมั่นใจว่า สะอาด จริง
เฮ้อ...เมาจนแหกกฎตัวเองนี่มันน่าจะเอาหัวทุบกำแพงซักทีสองที
ชายหนุ่มสะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุน มือหนาตลบผ้าห่มให้พ้นทางเผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเป็นประจักษ์พยานอย่างดีว่าเมื่อคืนเจ้าตัวเพิ่งผ่านสมรภูมิรักมาสดๆ ร้อนๆ รอยสีน้ำตาลจางๆ ข้างตัวทำให้เขาถึงกับชะงัก
เฮ้ย... สาวบริสุทธิ์
ถึงแม้ว่ารอยมันจะจางมากๆ แต่ใช่แน่ๆ รอยเลือดแค่นิดเดียวก็เป็นตัวการันตีได้แล้ว ใช่ว่าจะต้องเลือดอาบเหมือนในละครหลังข่าวเสียที่ไหน
ฉิบหายแล้ว...ไปลากใครที่ไหนมาข่มขืนรึเปล่าวะเนี่ย
ร่างสูงเดินโงนเงนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังคงค้างอยู่ในกระแสเลือด พาสารร่างหายเข้าไปในห้องน้ำ หวังจะใช้สายน้ำเย็นๆขับไล่อาการแฮงค์
เมื่อไอน้ำเย็นปะทะใบหน้า ความทรงจำที่ค่อยๆ กลับมาก็ทำให้เขาถึงกับหน้าถอดสี ยัยตุ๊กตาอาบยาพิษนั่น ซวยแม่งแล้ว เมื่อคืนเขาไปดื่มกับหล่อนมา ก๊งกันไปเกือบห้าขวด สุดท้ายก็แบกเธอขึ้นห้อง สาบานได้เลยว่าไม่มีเจตนาแอบแฝง แค่ไม่กล้าพาตัวไปส่งที่บ้านเท่านั้นเอง กะว่าให้นอนหลับซักตื่น เช้ามาก็ทางใครทางมัน ใครจะไปคิดว่ายัยบ้านั่นจะเมาแล้วรั่ว จู่ๆ ก็มาบังคับถอดเสื้อผ้าของเขา แถมมือเล็กๆนั่นก็แสนร้าย ลูบตรงไหนเป็นได้เสียวตรงนั้น
หลังจากที่เขาโดนมินรญาปล้ำถอดเสื้อผ้าตามด้วยลูบไล้แผงอก สติสัมปชัญญะที่มีก็ขาดผึง ชายหนุ่มปล่อยให้มือเรียวเล็กได้ทำงานอย่างเต็มที่ ขณะที่มือใหญ่กดท้ายทอยอีกฝ่ายลงแนบจุมพิตกับริมฝีปากของเขา ตอนแรกเธอเพียงร้องประท้วง แต่เมื่อเขาส่งเรียวลิ้นเข้าไปควานหาความหวาน เสียงโวยวายก็เปลี่ยนเป็นอู้อี้ พร้อมกับมือเล็กๆ ที่เพิ่มแรงลูบไล้อย่างเสน่หา
เขาจำได้ จูบของเธอหอมหวานไม่เหมือนใคร แม้วอดก้าจะขึ้นชื่อว่าเป็นเหล้าที่ไม่ทิ้งกลิ่นไว้ในลมหายใจ แต่เขากลับรู้สึกว่าโดนไออุ่นและลมหายใจร้อนๆ ของคนตัวเล็กมอมเมา เธอพยายามจูบตอบอย่างเงอะงะจนน่าเอ็นดู แต่ไม่มีถอยหนีหรือหวาดกลัว เห็นอย่างนี้เขายิ่งได้ใจ ตวัดลำแขนพลิกให้คนตัวเล็กมาอยู่ใต้ร่าง ฝ่ามือหยาบกร้านเริ่มเป็นฝ่ายทำงานบ้าง
เพียงไม่นาน เสื้อผ้าของเธอก็หลุดออกไปกองอยู่บนพื้นทั้งๆ ที่ทั้งสองแทบไม่ถอนจุมพิตออกจากกัน เมื่อค่อยๆ ผละออกห่างจากริมฝีปากอิ่ม นัยน์ตาของเขาก็ฉ่ำปรือ ตะลึงตะลานไปด้วยร่างขาวผ่องเป็นยองใย ยิ่งค่อยๆ ไล้ฝ่ามือลงบนผิวเนียนนุ่ม สัมผัสนิ่มลื่นก็ยิ่งฉุดกระชากให้สติกระเจิดกระเจิง ฝ่ามือหนาไล้ลากตั้งแต่สะโพกกลมกลึงขึ้นไปถึงเอวคอดกิ่ว ผู้หญิงคนนี้รูปร่างสวยมาก มีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ทำให้เขาถึงกับหายใจติดขัด
ใบหน้าคมก้มลงดื่มด่ำความหวานจากเรียวปากอีกครั้ง แล้วไล้ลงมาไซ้ซอกคอเนียนระหง เสียงครางผะแผ่วจากร่างเล็กๆ ยิ่งกระตุ้นไฟในกายหนุ่ม มือใหญ่กอบกุมหน้าอกนุ่มที่ใหญ่เกินขนาดตัว มือหยาบที่มักจะสัมผัสแต่ลูกบาสฯแข็งๆ เป็นนิจ พอได้พบเจอกับอกนุ่มๆ ขนาดใหญ่แทบจะล้นฝ่ามือก็ลืมตัวฟอนแฟ้นจนหญิงสาวคราง เขาจงใจตักตวงความหวานเต็มที่ ไล้ริมฝีปากร้อนร้ายไปทั่วร่างขาวโพลนจนเธอร้องครางกระเส่ากระถดกายหนี
แม้จะเคยผ่านมาหลายสมรภูมิรัก แต่พอได้มาเจอมือใหม่หัดขับใจกล้าอย่างคนใต้ร่างก็ทำเอาเขาแทบจะยั้งตัวไม่อยู่ ดื่มกินตะกละตะกลามจนน่าอาย ชายหนุ่มเพียรปรนเปรอให้หล่อนอยู่ไม่รู้เบื่อ จวบจนร่างเล็กกระตุกเกร็งพร้อมเสียงกรีดร้อง เขาจึงได้พร่างพรมจุมพิตปลอมประโลมแล้วอุ้มเธอขึ้นไปวางบนเตียง แค่ผละห่างเพียงนิด หญิงสาวก็ถึงกับผวาตามมากอดก่ายจนเขาต้องคอยกระซิบข้างหูปลอบประโลม เด็กดื้อถึงจะยอมปล่อยมือ
ชายหนุ่มเริ่มจุดไฟตัณหาให้คนด้อยประสบการณ์อีกครั้ง มือเล็กกอดกระหวัดกายแกร่ง ริมฝีปากบางเพียรจูบประทับอกกว้างอย่างถูกใจดึงรั้งอารมณ์ดิบพล่านในตัวเขา คนตัวสูงไม่คิดจะยั้งใจไว้อีกต่อไป บรรจงมอบความเสียวซ่านเข้าครอบครองเป็นเจ้าของอย่างถือดี เสียงหวีดร้องใต้ร่างหนาพร้อมความคับแน่นทำให้เขานิ่งชะงักจนแทบจะสร่างเมา ฝ่ามือเล็กที่เคยลูบไล้เปลี่ยนเป็นทุบอกกว้างพลางขืนตัวหนี ชายหนุ่มได้แต่ครางลึกเสียงแหบพร่า จะให้เขาหยุดตอนนี้ฆ่ากันให้ตายยังจะง่ายกว่า แต่ถ้าจะฝืนต่อไปคนใต้ร่างต่างหากที่จะเป็นฝ่ายยับเยิน
เขาก้มลงปลอบประโลมพลางโอบกอดให้เธอลืมความเจ็บ ค่อยๆบรรจงมอบความเสียวซ่านให้เธออีกครั้ง จวบจนกำปั้นน้อยๆ นั้นคลายออกเปลี่ยนเป็นลูบไล้แผ่นหลังเปล่าเปลือย เขาจึงค่อยๆ ขยับตัวอีกครั้ง แม้ริมฝีปากบางจะคอยประท้วงอู้อี้ แต่เขาก็บรรจงมอบจุมพิตให้เธอลืมเลือนความเจ็บปวด ท่ามกลางร่างหนาที่โหมกระหน่ำ เธอยึดไหล่กว้างไว้แน่นพลางจิกเล็บลงเพื่อข่มความวาบหวามที่ปะทุขึ้นอีกหน จวบจนทั้งสองจับจูงกันก้าวผ่านวิมานสวรรค์ เสียงครางหนักๆ ประสานกับเสียงร้องครวญครางก็ดังระงม คืนนั้นเขาสลบลงแนบอกอุ่นของเธอ หลับไหลอย่างไม่รู้ตัว
อ๊า...ความคิดเขาหยุดลงแค่นี้ ร่างกายก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบเปิดน้ำเย็นแรงๆ เพื่อไล่อาการปวดหนึบ ให้ตายสิ ทำไมเขาต้องมาติดใจเอาหญิงสาวต้องห้ามด้วยนะ
สามวันที่ผ่านไปกับความหงุดหงิดงุ่นง่าน ขนาดสายน้ำ หญิงสาวหนึ่งเดียวในดวงใจยังแทบเข้าหน้าไม่ติด เขารู้สึกว่าอะไรมันก็คอยขวางหูขวางตาไปหมด ขืนยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ คงอกแตกตายแน่ๆ
ยิ่งถ้าจะให้ปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ น่ะเหรอ เขาคงทำไม่ได้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ ป่านนี้คนตัวเล็กจะเป็นอย่างไรนะ คงได้นอนร้องไห้น้ำตาเปียกหมอนทุกคืนแน่ๆ
เขาผิดที่ไม่สามารถยั้งตัวเองได้ แม้เธอเป็นคนปล้ำเขาก่อนแท้ๆ แต่ตามธรรมชาติผู้หญิง ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ร้อยทั้งร้อยความผิดมักตกอยู่กับฝ่ายชายที่ไม่ยอมห้ามใจ
เฮ้อ...สงสัยเขาคงต้องไปเจอเธอสักหน่อย
“ลมอะไรหอบลูกชายตัวดีกลับบ้านมาได้นะ”
ชายหนุ่มเดินอ้อมเข้าไปโอบเอวพลางก้มลงหอมแก้ม “ลมคิดถึงมั้งฮะ”
“ขอให้มันจริงเถอะนะ” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดราวกับสาวแรกรุ่นของมารดาเล่นเอาเขาถึงกับหลุดขำ ต้องก้มลงหอมแก้มนุ่มอีกฟอดใหญ่
เขาโอบร่างที่เริ่มขืนตัวพาเดินไปนั่งบนโซฟา “ทานข้าวยังฮะ”
“เรียบร้อยแล้ว เราล่ะ...ทานอะไรมารึยัง แม่จะได้ให้เด็กๆ ไปเตรียม”
“ผมกินกาแฟมาแล้วฮะ ตอนเช้าไม่ค่อยหิว เอ่อ...แม่พอจะมีที่อยู่ของร้าน...เอิ่ม ของ...”
เห็นลูกชายเงียบไปนานมารดาเลยเอ่ยเร่ง “ของใครกันฮึ”
“ของลูกสาว...เอิ่ม ของมินน่ะครับ”
ตุลยาแสร้งพยักหน้าเข้าใจ “อ้อ...อยากเจอหนูมิน เอ้าขยับหน่อย แม่จะลองไปหานามบัตรในลิ้นชักดู” ร่างท้วมเดินตัวปลิวหายเข้าในห้องทำงานทันที เพียงชั่วครู่ก็กลับออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ทำให้คนมองถึงกับหมั่นไส้ “อ๊ะนี่ เห็นไหม มัวแต่หนีหน้าเขาอยู่นั่นแหละ เจอตัวจริงแล้วเป็นยังไง สวยน่ารักถูกใจใช่ไหมล่ะ”
ก็ถูกใจอ่ะนะ เฮ้ย...ไม่ใช่ “เปล่าฮะ ผมแค่จะไปดูชุดให้สายน้ำ เห็นแม่เชียร์จังว่าฝีมือดี” ว่าเสร็จก็ก้มลงหอมแก้มยุ้ยของมารดาแล้วรีบเผ่นนี้ฝ่ามืออรหันต์
“กลับมาเลยนะ ตาลูกคนนี้นี่ แม่ไม่เชื่อหรอก ไม่ต้องมาหาข้ออ้างล้างอายเลยนะ” คุณนายของบ้านตะโกนไล่หลังบุตรชายเสียงดังจนเด็กรับใช้ได้แต่ส่ายหน้าขบขันในความน่ารักของสองแม่ลูกคู่นี้
หญิงสาวมีร้านเสื้อผ้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเองถึงสองสาขาจนชายหนุ่มยังนึกทึ่ง เห็นตัวเล็กๆ ปากเจ็บๆ แบบนั้นแต่ยัยนั่นก็มีดีพอตัวทีเดียว เขาถึงกับลงทุนโทรถามทั้งสองร้านว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ความจริงเบอร์ติดต่อส่วนตัวของเจ้าหล่อนก็มีอยู่ในนามบัตร แต่จะให้โทรไปน่ะเหรอ หึๆ...เขาไม่กล้าหรอก
เจอกันซึ่งๆ หน้าวัดใจกันไปเลยดีกว่า
ร้านสีขาวสไตล์วินเทจตกแต่งด้วยผนังอิฐสีขาวโดดเด่นออกมาจากร้านรวงรอบข้างทำให้เขาสังเกตเห็นได้ไม่ยาก กระจกใสบานใหญ่ช่วยให้คนที่ผ่านไปมามองลอดเข้าไปเห็นหุ่นหลายตัวที่สวมเสื้อผ้าหลากหลายสไตล์สวยงามละลานตา หญิงสาวตกแต่งร้านค่อนข้างหวานเหมือนหน้าตา แต่กลับผิดแผกจากนิสัยไปเสียไกล
เสียงกระดิ่งดังกรุ้งกริ้งทันทีที่เขาเปิดประตูก้าวเข้าไป
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานใสของพนักงานดังขึ้นทันทีแม้ว่าคนที่ก้าวเข้ามาจะรูปร่างสูงใหญ่ ไม่ใช่หญิงสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นอย่างที่ควรจะเป็น รอยยิ้มกว้างพร้อมต้อนรับทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงักเท้า
“เอ่อ...ผมมาพบคุณมินรญาครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้เธออยู่รึเปล่า”
“อ้อค่ะ พี่มินอยู่หลังร้าน เชิญคุณนั่งรอตรงมุมโน้นก่อนนะคะ” หญิงสาวผายมือให้เขาไปทางมุมหนึ่งซึ่งเป็นชุดโต๊ะสีขาวเข้ากับตัวร้าน แล้วก็เดินหายเข้าไป เขาหันรีหันขวางเพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจก้าวเดินไปนั่ง
รอไม่ถึงอึดใจ เสียงหวานใสที่ดังโต้ตอบกับลูกจ้างก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวชาช่วยไปลองตัวสีฟ้าที่พี่เพิ่งเย็บเสร็จให้หน่อยนะ”
พนักงานสาวสวยยิ้มกว้าง “ได้ค่ะพี่มิน”
จากนั้นร่างเล็กจึงหันปลายเท้ามาทางชุดรับแขก เพียงแค่เหลือบไปเห็นเขาเธอก็ชาวาบไปทั้งร่าง ต้องบังคับขาตัวเองอยู่นานให้ก้าวเดิน ท่ามกลางสายตาดุที่จ้องเอาๆ
วันนี้เธอสวมเสื้อแขนกุดเอวลอย เผยให้เห็นเอวขาวคอดกิ่ว กระโปรงสีโอรสเอวสูงตัดเข้าชุดกันกับตัวเสื้อช่วยขับส่งให้เห็นสะโพกกลมกลึง ยิ่งได้เห็นใกล้ๆเขายังถึงกับลอบกลืนน้ำลาย ยัยป้าหน้าเด็กนี่ทำไมไม่รู้จักระวังการแต่งตัวบ้างนะ แต่งอย่างนี้ไม่รู้รึไงว่ามันล่อเสือล่อตะเข้น่ะ อารมณ์ที่สงบนิ่งของเขาเริ่มกระเพื่อมขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“สวัสดีค่ะน้องต้น” เธอแย้มยิ้มที่ปั้นแต่งมาอย่างดีให้แล้วจึงทรุดตัวลงนั่ง
เขาขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่ราวกับอยากขอเวลานอกแล้วจึงเปิดปากพูด “ผมอยากจะเอิ่ม...คุยกับคุณเรื่อง...”
เมื่อเห็นเขาเงียบไป เธอเองก็เริ่มขยับตัวอึดอัดอย่างคนมีชนักปักอยู่กลางหลัง “พี่เองก็เหมือนกัน”
ต่างคนต่างจ้องกันอยู่นาน ไม่มีใครยอมเปิดปากพูดก่อน จวบจนพนักงานนำน้ำเข้ามาเสริฟนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงเริ่มกระแอมไอ “เอิ่มคือผมอยากจะขอโทษ”
“พี่ก็เหมือนกัน” มินรญาโพล่งขึ้นทันทีราวกับกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “ขอโทษเรื่อง?”
“แล้วน้องล่ะ” ไอ้คำก็น้อง สองคำก็น้อง เนี่ยแหละที่ทำให้อารมณ์คนฟังเริ่มกรุ่นๆ คิดว่าโตกว่าเขารึไงนะ ยิ่งคิดย้อนถึงตอนเธอครางกระเส่าอยู่ใต้ร่าง ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเขาตอนนั้น ชายหนุ่มยิ่งขัดใจยามนี้
“ก็เรื่อง...คืนนั้น/วันก่อน” ทั้งสองเปิดปากพูดออกมาแทบจะพร้อมกันแล้วก็นิ่งเงียบ ต่างฝ่ายต่างได้แต่จ้องมอง
“ขอโทษที่ปล้ำมิน/น้อง คืนนั้น” ยิ่งพูดพวกเขาก็ยิ่งใจตรงกัน
แต่เอ๋? เธอเป็นผู้หญิงประเภทไหนกันแน่ที่มาสารภาพแถมขอโทษขอโพยว่าปล้ำผู้ชาย โอ๊ย...ฉิบหายแล้ว คนตรงหน้าช่างแตกต่างจากผู้หญิงทั้งโลกที่เขาเคยเจอ แล้วนี่จะรับมือกับหล่อนยังไงดีนะ เฮ้อ...
ชายหนุ่มได้แต่นั่งทำตาปริบๆมองผู้หญิงประหลาด ขณะที่เธอเองก็กัดริมฝีปากล่างอย่างข่มอารมณ์ จะเอายังไงกับตายักษ์ปักหลั่นนี่ดีนะ เฮ้อ...
“เอ่อ/เอ่อ...” ทำไมต้องมาใจตรงกันตอนนี้ด้วยเนี่ย
“โอเค มินพูดก่อน”
“คือ เพื่อความสัมพันธ์อันดีของบ้านเรา พี่อยากจะขอให้น้องช่วยลืมๆเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น ทำซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน อย่าถือสาคนอย่างพี่เลย” หญิงสาวว่าอย่างใจกว้างขณะที่คนฟังถึงกับทำคางหล่น
ห๊า...หล่อนบ้าไปแล้วรึไง!!?
พูดยังกับว่าเขาเป็นผู้เสียหาย เขานี่นะชายทั้งแท่ง เรื่องที่เกิดขึ้นมีแต่ผู้ชายที่ได้กับได้ ส่วนเธอน่ะเสียกับเสีย แล้วยังมาทำปากดีอีก เนี่ยน่ะหรือ....คือผู้หญิงที่เขาคิดว่าคงนอนน้ำตาเปียกหมอน ไหงโลกมันถึงกลับตาลปัตรไปหมดอย่างนี้
“เดี๋ยวนะมิน ผมว่ามินเข้าใจอะไรผิด คือคนที่เสียหายคือมิน ไม่ใช่ผม” เขาย้ำชัดทุกถ้อยคำ แต่หญิงสาวเพียงไหวไหล่
“เค งั้นถือว่าเราหายกัน น้องก็แค่ช่วยชดเชยให้พี่โดยทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างคนต่างแยกย้าย โอเค๊” นี่เธอพูดเรื่องนี้ออกมาง่ายๆ ราวกับกำลังลงมาคุยกันหลังจากเขาไปขับรถชนท้ายรถคุณเธอเสียอย่างนั้น ประมาณว่าต่างคนต่างซ่อม แยกย้ายกันไปจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอตำรวจ
ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ?
คราวนี้ชัดเลย อารมณ์นี้มันใช่เลย เขากำลังโกรธแม่ตุ๊กตานรกอาบยาพิษนี่ชัดๆ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยโดนผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเลยให้ตายสิ ถ้าจะมีเขาก็ยอมให้แค่คนเดียวคือ สายน้ำ ยัยป้าหน้าเด็กนี่กล้าดียังไงมาทำราวกับหลอกเด็กหนุ่มมาเคลมแล้วก็เฉดหัวทิ้ง มันน่าจับมาตีก้นซะจริงๆ
คนอย่างต้นตระการ ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้
หัวสมองของเขาทำงานเร็วจี๋ ค่อยๆ ประมวลผลหาทางตะล่อมคนตรงหน้า คิดว่าจะหนีเขาเหรอ ยังก่อน...เขาไม่ยอมถูกเธอสลัดทิ้งง่ายๆ อย่างนี้หรอก ขอให้เขาได้เอาคืนหน้าเชิดๆ จมูกรั้นๆ ปากเล็กๆที่ขยันเอื้อนเอ่ยวาจาแสนร้ายนี่ก่อนเถอะแล้วเขาถึงจะยอมปล่อยเธอไป
แล้วความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมาในหัว “คุณคิดว่าถ้าเราต่างคนต่างแยกย้ายแล้วเรื่องมันจะจบเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามพลางเอนตัวพิงพนัก
“พี่ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรนี่” คิ้วเรียวสวยขมวดยุ่ง
“คิดว่าแม่ของเราจะยอมปล่อยเหรอ”
“ก็...” ก็นั่นสินะ นี่ก็โดนถามอยู่ทุกวี่ทุกวันว่าคนตรงหน้าเป็นยังไงบ้าง “ถ้าเราพยายามคุย ท่านทั้งสองอาจจะเข้าใจ”
เขาพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ แล้วก็ไปหาคนใหม่มาประเคนอีก” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบแต่กลับน่าฟัง
คราวนี้เธอพยักหน้ารัวอย่างเห็นด้วย หมดคนนี้ก็ต้องมีคนนั้นมาอีกแน่ “หรือน้องมีความคิดอะไรดีๆ ล่ะ”
ชายหนุ่มต้องกดข่มอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง น้องๆๆ มันน่าจับมาจูบปิดริมฝีปากบางที่เอื้อนเอ่ยนั่นจริงๆ เขาถอนหายใจหนักๆ ขับไล่อารมณ์กรุ่นๆ ที่ตีตื้นขึ้นมาโดยคนทำกลับไม่รู้ตัวเลย
“ผมมีข้อเสนอ มินลองพิจารณาดูละกัน” เขาเว้นวรรครอดูปฏิกิริยา เมื่อเห็นเธอพยักหน้า จึงเริ่มพูดต่อ
“ผมว่าเราแกล้งทำเป็นคบกันดีไหม”
“ห๊า...” หล่อนถึงกับทำตาโตอ้าปากค้างเมื่อฟังจบ
เขาส่ายหน้ากับอาการตะลึงเกินเหตุนั้น “หมายถึงแกล้ง แค่ไปไหนมาไหนด้วยกันอาทิตย์ละครั้ง ซักพักใหญ่ๆ แล้วสุดท้ายค่อยบอกว่าเราไม่เหมาะกัน หรือหาเหตุผลร้อยแปดพันประการอะไรก็ได้ จากนั้นคุณก็ค่อยพาตัวจริงของคุณไปเปิดตัว ก็แค่นั้น”
“โนๆๆ ข้อนี้น้องได้เปรียบเห็นๆ เพราะพี่ยังไม่มีตัวจริงให้เปิดตัว แถมหมดเรื่องน้องไปแล้ว พี่อาจจะโดนจับคู่กับคนอื่นต่ออีก พี่ไม่คิดจะแต่งงานหรอกนะ”
ห๊ะ...นี่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ก็ว่าอยู่ ทำไมแม่หน้าเด็กหุ่นถูกสเป็คผู้ชายทั้งโลกถึงยังไม่มีใคร แถมครองตัวเป็นโสดและสดมาได้เป็นนาน ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง น่าสงสารชายไทยทั้งหลายจริงๆ
“งั้นคุณก็บอกคุณป้าไปสิว่า คุณลองคบแล้ว พบว่าผู้ชายไม่ค่อยเวิร์ค หรือเข็ดขยาดกับความรักอะไรก็ว่าไป คราวนี้คุณป้าก็จะเห็นใจแล้วคงไม่บีบบังคับอะไรคุณอีกแล้ว”
คราวนี้คนฟังเริ่มคล้อยตาม “มันก็จริงอ่ะนะ แล้วน้องจะเปิดตัวจริงๆ จังๆ เมื่อไหร่ล่ะ พี่จะได้ดูเวลา” เพราะถ้าแม่เห็นว่าผู้ชายที่ท่านเลือกเองมากับมือทำให้ลูกสาวถึงกับเจ็บช้ำเสียใจ แม่คงจะยอมปล่อยให้เธออยู่อย่างสงบไปอีกสักสามสี่ปี
“ตอนนี้เรายังไม่ได้ตกลงกัน” เขาตอบน้ำเสียงแผ่วเบา
“อ้อ...ยังตามจีบอยู่ ว่างั้น”
แม่ผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้จะพูดตรงกวนโทสะไปไหน นึกแล้วเขาก็พาลคิดไปถึงใบหน้าเรียวๆ หางตาชี้ๆ หน้าตากวนโทสะของเพื่อนรักเพื่อนแค้นที่อยู่ต่างแดน ทำไมชีวิตถึงได้เจอะได้เจอแต่คนแบบนี้นะ
“อืม...ประมาณนั้น สรุปมินตกลงตามนี้นะ”
หล่อนเพียงยักไหล่ ท่าทีที่เขาแสนเกลียด “อืม ก็ลองดู จะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ”
“วันนี้เลยเป็นไง”
“ไม่ได้หรอกพี่ยุ่งมากโดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์ เอาไว้ค่อยเริ่มจันทร์หน้าก็แล้วกัน” คนตัวเล็กว่าง่ายราวกับกำลังเริ่มทำธุรกิจร่วมกันก็ยิ่งข่วนอารมณ์หงุดหงิดของเขา
“ก็ได้ แต่ผมมีข้อแม้”
อ้าว อีตาเด็กเวร นี่เป็นคนเสนอมาแท้ๆ สุดท้ายกลับมาต่อรอง “อะไรอีกล่ะ” ท่าทางรำคาญเหมือนกำลังโดนน้องกวนใจนั้นทำให้คนมองต้องนิ่งเงียบนับหนึ่งยันสิบ
“ต่อไปเรียกผมว่าต้น และแทนตัวเองว่ามิน ไม่มีคู่ไหนเขาคบกันแล้วผู้หญิงแทนตัวเองว่า พี่ หรอกนะ”
มินรญาเพียงเลิกคิ้ว “อ้าว เหรอ” จากนั้นก็ไหวไหล่ง่ายๆ “อืมก็ได้ ตามนั้น”
เฮ้อ...โล่งอกไปที จะว่าไปแม่นี่ก็คบง่ายเหมือนกัน คุยตรงๆ แมนดี ตกลงกันง่ายๆ อย่างนี้ก็ดีไปอย่าง เขาไม่คิดจะเรียกคนหน้าเด็กแต่นมไม่เล็กว่าพี่หรอกนะ พากันไปเที่ยวไหนต่อไหนคนคงพากันหัวเราะเยาะ
ชายหนุ่มขับรถเข้าไปจอดหน้าประตูบ้าน ก็พอดีกับที่ร่างสูงก้าวออกมาจากประตู
“อ้าวต้น มารับยัยน้ำเหรอ”
เขาค้อมตัวให้ผู้พูด “หวัดดีฮะพี่ดิน”
“อืม” เจ้าบ้านยิ้มรับรุ่นน้องแล้วหันไปตะโกนเข้าบ้าน “น้ำ ต้นมาถึงแล้ว” แล้วจึงหันกลับมาพูดกับร่างสูงตรงหน้า “วันนี้นัดกันออกไปไหนล่ะ”
“เห็นน้ำบอกว่ามีร้านขนมร้านใหม่น่านั่งมาก รอใครก็ไม่ว่างซักที”
“เลยมาลากแกไปด้วยงั้นสิ เฮ้อ..ตามใจกันจนเหลิงแล้วนะ เอ้อ...รู้รึยังว่าวินจะกลับมาอาทิตย์หน้า”
“ฮะ”
“อืม” เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะคนที่กล่าวถึงนั้นเป็นทั้งเพื่อนรักและศัตรูหัวใจของคนตรงหน้า คนที่จะตัดสินใจเลือกคงมีแต่น้องสาวของเขาเท่านั้น
ร่างบางก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง หญิงสาวสวยสดใสในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนเข้ารูปที่ยาวเลยเข่าเล็กน้อย ต้นพยักหน้าพึงใจ เป็นผู้หญิงก็ควรจะแต่งตัวให้น่ารักเรียบร้อยอย่างนี้สิ ไม่ใช่เปิดนู่นโชว์นี่ ความคิดของเขาแล่นไกลไปถึงใบหน้าหวานของหญิงสาวอีกคน เผลอๆ ถ้าเทียบกัน ยัยตุ๊กตาอาบยาพิษนั่นดูหน้าเด็กกว่าคนตรงหน้าเสียอีก ถ้าจะเทียบคงประมาณวราลี เพื่อนสนิทอีกคนของเขา
“ไปกันเลยไหมจ๊ะ” เธอเดินมาสอดมือคล้องแขนเขา
“อย่ากลับดึกนักล่ะ” พี่ชายเอ่ยสำทับ น้องสาวจึงได้แต่หัวเราะร่วน
“ได้เจ้าค่ะ ต้นไม่เคยพาน้ำเถลไถลอยู่แล้วล่ะค่ะ ใช่ไหม” ปลายประโยคหญิงสาวหันมายิ้มให้คนข้างกาย
“คร้าบ เจ้าหญิง” เขาตอบรับพร้อมเปิดประตูให้เธอก้าวขึ้นนั่ง
“แล้วเจอกันฮะ” ชายหนุ่มหันมาโบกมือลาร่างสูงที่ยืนส่ง จากนั้นก็ก้าวขึ้นนั่งที่ประจำคนขับ
ความสัมพันธ์ของเขาและเธอยาวนานมาเกือบสิบปี ชายหนุ่มได้รู้จักกับหญิงสาวผ่านทางเพื่อนของเพื่อน ตอนนั้นเธอยังเป็นเด็กหญิงอยู่ด้วยซ้ำ รอยยิ้มหวานและนิสัยเรียบร้อยมัดใจเขาได้ไม่ยาก แม้จะไม่ได้ถูกตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็นทั้งๆ เธอก็จัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากก็ตาม แต่เพราะรอยยิ้มน้อยๆ ที่คอยเอาใจเขาตลอดเวลาก็ทำให้เขาตกหลุมรักจนหาทางปีนกลับขึ้นมาไม่ได้
พวกเขาเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลายด้วยกัน หญิงสาวคือผู้จัดการชมรมบาสเกตบอลคนสวยที่มีแต่หนุ่มๆ อยากรุมจีบ แต่น่าเสียดายที่เขาเองก็เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลสุดฮอตคนหนึ่ง เรื่องราวต่างๆ ของเขาและเธอคงจบลงถ้าไม่มีมีผู้ชายที่ชื่อ อนิรุทธ์ หรือวิน ก้าวเข้ามา ทั้งหมดที่เขารับรู้ว่าเธอดีกับเขานั้นเป็นเพียงความคิดฝ่ายเดียว เธอเป็นเพียงผู้หญิงใจดีที่เอื้อเฟื้อต่อทุกคน เพียงแค่มันอาจจะเผื่อแผ่ให้เขามากหน่อย แต่ก็ยังน้อยกว่าไอ้คนชอบกวนโมโหนั่น
ตั้งแต่มีวิน สายน้ำก็แสดงชัดว่าชอบมัน ขณะที่ไอ้กวนมึนโฮนั่นกลับเฉยเมย มีเพียงเขาที่เพียรพยายามคอยตามห่วงใยใส่ใจหญิงสาวมาโดยตลอด แต่หัวใจของเธอก็ยังอยู่ที่มัน ส่วนหัวใจของมันน่ะเหรอ ยกให้ผู้หญิงสวยแสนหวานอีกคนที่ชื่อวราลีไปนานแล้ว แต่ถ้าให้เขาบอกเรื่องนี้กับคนข้างๆ ก็เท่ากับว่าเขาใช้วิธีสกปรกน่ะสิ เขาจะพยายามใช้ความดีชนะใจเธอให้ได้
“ต้นรู้รึยังว่าวินจะกลับมาอาทิตย์หน้า” เสียงหวานใสพร้อมรอยยิ้มกว้างนั้นบาดลึกเข้าไปในหัวใจเขา ไม่มีวันไหนที่เธอจะลืมมันไปเลยหรือ แล้วตลอดห้าปีที่ผ่านมาล่ะ ห้าปีที่มีเพียงแค่เรากลายเป็นความว่างเปล่าไปทันที
เขาเพียงตอบรับด้วยน้ำเสียงขื่น “อืม”
“ดีจังเนาะ กลับมาคราวนี้น้ำจะรั้งไม่ให้บินกลับไปอีกเลยคอยดู” หญิงสาวยิ้มกว้างด้วยท่าทางมุ่งมั่น ราวกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดของคนฟังเลยแม้แต่น้อย