บทที่3 เดทแรก
บ้านของมินรญาเป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดไม่ใหญ่มาก แตกต่างจากในจินตนาการของเขาลิบลับ พ่อของเธอเป็นถึงนายพล แต่กลับใช้ชีวิตอย่างสมถะ น่านับถือไม่น้อย ทหารรับใช้นายหนึ่งวิ่งมาเปิดประตูพร้อมทั้งชี้ทางที่จอดให้เขา ต้นไม้เขียวครึ้มรอบบริเวณบ้านได้รับการดูแลตกแต่งอย่างดียิ่งส่งให้ตัวบ้านหลังเล็กดูร่มรื่น
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ชายสูงวัยที่กำลังตัดแต่กิ่งไม้ แม้จะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น แต่ความมีสง่าราศีก็ทำให้เขารู้ได้ทันที่ว่าชายคนนี้คือพลโทอดิเทพเจ้าของบ้าน
ชายสูงวัยรับไหว้พลางมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเอ่ยถาม “เพื่อนยัยมินรึ”
“ครับ วันนี้ผมจะมาขออนุญาตคุณลุงพามินไปทานข้าว” เขาตอบอย่างนอบน้อมแต่ไม่ได้กริ่งเกรงหรือหวั่นไหวกับท่าทีคุกคามนั้น อาจจะเพราะไม่ได้คิดจะมาจีบลูกสาวบ้านนี้จริงๆ ก็ได้ที่ทำให้เขาลดความประหม่าไปได้โข
“อ้อ ยังแต่งตัวอยู่มั้ง แล้วเราชื่ออะไรล่ะ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
“ผมชื่อต้นตระการ ภิรมย์ไพศาล ครับ คุณแม่ชื่อตุลยา เป็นเพื่อนกับคุณป้าน่ะครับ”
“อ้อๆ” เขาพยักหน้าคล้ายจะนึกออก “เอ้าๆ นั่งก่อนสิ อีกนานเลยกว่ายัยมินจะแต่งตัวเสร็จ”
“อ้อ ไม่เป็นไรครับ คุณลุงมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” เขาขันอาสา
ผู้สูงวัยหันมามองแล้วยื่นกรรไกรตัดกิ่งให้ “เอ้า งั้นก็ช่วยเล็มกิ่งตรงนี้ให้หน่อย ฉันจะไปดูเด็กยกเก้าอี้มาขัดเปลือก ลงสีใหม่ เฮ้อ...เก้าอี้ไม้นี่โดนน้ำแทบไม่ได้เลย ผุตลอด”
“คุณลุงได้ลองใช้น้ำยารักษาเนื้อไม้รึยังครับ ผมแนะนำเป็นแบบน้ำมันจะทนแดดทนฝนได้ดี อีกทั้งทนการผุจากสนิมจำพวกตะปูด้วยนะครับ”
“ฉันก็สั่งให้เด็กมันทำอยู่นะ แต่ไม่รู้มันใช้ส่วนผสมถูกรึเปล่า”
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยดูให้นะครับ ผมพอจะมีความรู้อยู่บ้าง”
ได้ยินชายหนุ่มยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คนแก่รู้สึกชอบใจ “เอาๆ งั้นช่วยดูให้หน่อยเถอะ”
คนแก่เดินนำเขาเข้าไปด้านหลังบ้านซึ่งเป็นที่เก็บของอุปกรณ์ทำสวนและเครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆ ระหว่างนั้นพลทหารรับใช้ก็กำลังช่วยกันยกเก้าอี้และโต๊ะไม้ที่วางบนศาลามาเตรียมไว้ เขาเดินเข้าไปหยิบกระป๋องน้ำมันขึ้นมาอ่าน ความจริงยี่ห้อนี้ก็ค่อนข้างดี เพียงแต่วิธีการใช้ค่อนข้างยุ่งยากและกลิ่นค่อนข้างจะเหม็น
ต้นเพียงพับแขนเสื้อขึ้นจากนั้นก็กวักมือเรียกทหารรับใช้ทั้งสองเข้ามาหา พลางอธิบายวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง แล้วก็ลงมือสาธิตทั้งวิธีการขัดเนื้อไม้ เคาะเชื้อราที่ติดอยู่ และการลงน้ำมันที่ถูกต้อง ท่าทางหยิบจับทุกอย่างดูคล่องแคล่วลื่นไหลจนผู้สูงวัยแอบพยักหน้าพึงใจ
เรื่องพวกนี้เป็นงานถนัดของเขาอยู่แล้ว พอตอบตกลงที่จะดูแลกิจการที่บ้าน พ่อของเขาก็ไม่รีรอที่จะเตะโด่งลูกชายคนเดียวให้ไปใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในโรงไม้เป็นหลายเดือน จวบจนเห็นว่าใช้ได้แล้วจึงค่อยย้ายตูดเขาไปแหมะไว้ที่โรงงานประกอบชิ้นส่วนต่อ เรื่องพวกนี้เขาผ่านมือมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งแล้ว ยิ่งต้องทำงานกับคนค้าไม้ ความรู้ต้องแน่น ทันเล่ห์เหลี่ยมเพื่อไม่ให้ถูกหลอกหรือสอดไส้สินค้า
“ว้าย ตายแล้วตาต้น มาทำอะไรอยู่ตรงนี้” เสียงร้องตกใจของคุณนายเรียกชายทั้งหนุ่มทั้งแก่ให้ไปมองเป็นตาเดียว
เขาวางแปรงลงแล้วรีบประนมมือไหว้ “สวัสดีครับคุณป้า”
“ตายแล้วคุณมาใช้แขกของฉันทำอะไรคะนี่”
“เปล่าครับคุณป้า ผมอาสาเอง นานๆได้เคาะสนิมเสียหน่อย ฝีมือจะได้ไม่ฝืด” เขายิ้มน้อยๆ ด้วยท่วงท่าสบายแต่คุณนายกลับหันไปขึงตาใส่ท่านนายพลที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
“พอเลยจ้ะไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวตัวจะเหม็นเปล่าๆ ยัยมินคงจะลงมาคอยแล้วล่ะ ไปเถอะ” เขารีบดันหลังร่างสูงให้เดินนำ แต่ก็ยังมิวายหันมาเขม่นตามองตัวต้นเหตุ ท่านนายพลผู้น่าเกรงขามรีบยิ้มแหยๆ ส่งให้ทันที
“ผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับคุณลุง” เขาหันกลับมาไหว้เจ้าของบ้านอีกครั้ง ผู้สูงวัยจึงรับไหว้อย่างพอใจ ถือว่าสอบผ่านในด่านแรก
ร่างเล็กก้าวออกมารอด้านนอกบ้าน หญิงสาวเลิกคิ้วมองสภาพของเขาก่อนที่จะเผยยิ้มน้อยๆ เจอฤทธิ์คุณพ่อไปเสียล่ะมั้ง ยิ้มกว้างขี้เล่นของเธอทำให้เขาถึงกับหายใจสะดุด หญิงสาวเดินตัวปลิวเข้าไปใช้ข้อศอกสะกิดพลางยักคิ้ว
“ไง ผ่านด่านพ่อไหม” เสียงกระซิบกระซาบค่อนข้างเบาทำให้คนที่ตามมาไม่อาจได้ยิน เพียงแต่ท่าทางสนิทสนมนั้นก็ทำให้คนเป็นแม่ถึงกับยิ้มกว้าง รอเก็บไปคุยกับมารดาของชายหนุ่ม
“นี่จะออกไปไหนแต่เช้าจ๊ะ” ตอนนี้ดูท่าว่าแผนของพวกนางจะสำเร็จไปเกินครึ่งหลังจากวันก่อนที่แม่ของชายหนุ่มรีบโทรมารายงานว่าลูกชายไปขอที่อยู่ร้านของลูกสาว
“ต้นจะไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนมินค่ะ...เนอะ” คิ้วเรียวได้รูปยักขึ้นอย่างแกล้งยั่ว เพราะวันนั้นหล่อนเพิ่งทำตัวป่วนไปหยกๆ ชายหนุ่มเห็นก็อดใจไม่ไหว ยกนิ้วขึ้นดีดจมูกเล็กๆนั่น
“โอ๊ย” มือเรียวเล็กรีบยกขึ้นตะครุบจมูกพลางส่งสายตาอาฆาตให้ พูดลอดไรฟัน “ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“รอให้มาเอาคืนจนตัวสั่นไปหมดแล้วนี่” เขาทำท่าตามแกล้งยั่วเธอ ไม่รู้เลยว่าอากัปกิริยาทั้งหมดนั้นตกอยู่ในสายตาของผู้สูงวัยที่กำลังมองอยู่อย่างมีความหวัง
“แล้วนี่จะกลับกี่โมงจ๊ะ ให้แม่ทำกับข้าวไว้ไหม”
“ไม่ดีกว่าค่ะ แม่กับพ่อจะได้ไม่ต้องนั่งรอ มินไปนะคะ สวัสดีค่ะ” หล่อนหันไปตอบมารดาก่อนจะป้องปากตะโกนเสียงดัง “ไปแล้วนะคะพ่อ”
คนเป็นมารดาแทบกุมขมับ หมดกัน ท่าทางเรียบร้อยที่อุตส่าห์สั่งสอนปั้นแต่งมา
ห้างสรรพสินค้าในบ่ายวันจันทร์นั้นแสนเงียบเหงา ชายหนุ่มเข้าโรงงานไปตรวจสินค้าในช่วงเช้า เสร็จจากนั้นก็ไปรับมินรญาที่บ้าน ทั้งสองเลือกทานอาหารกลางวันง่ายๆ แล้วเขาจึงเป็นฝ่ายให้เธอเลือกกิจกรรมต่อ
“มินจะช้อปไหม”
เธอไหวไหล่น้อยๆ เป็นการปฏิเสธ “ไม่ล่ะ ครั้งที่แล้วพี่..” เมื่อเห็นสายตาดุๆส่งมาจึงเพียงยักไหล่
“เอ่อ..มินซื้อไปเยอะมากแล้ว เอาไว้เป็นไอเดียเฉยๆ ตอนนี้ไอเดียบรรเจิดมากจนแทบจะร่างแบบไม่ไหว ขอพักการช้อปไปก่อนก็แล้วกัน”
เขาเลิกคิ้วคล้ายแปลกใจ คิดว่าครั้งก่อนเธอซื้อไปใส่เองเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องงาน มุมมองที่เคยเลวร้ายจึงค่อยเปลี่ยนไปหน่อย
“งั้นมินอยากไปไหนล่ะ ดูหนังไหม” เขาถามเรื่อยๆ ตามที่ปกติคู่เดทคงทำกัน ความจริงเขาไม่เคยไปไหนกับผู้หญิงคนไหนสองต่อสองแบบนี้มาก่อน ปกติก็มีเพียงสายน้ำเท่านั้นที่จะให้เขายอมใช้เวลาไร้สาระแบบนี้ด้วย นอกนั้นก็เป็นเพื่อนชาย ที่มาสวนเสเฮฮากันเสียส่วนใหญ่
ส่วนผู้หญิงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปนั้น เจอกันแค่ในผับกับบนเตียง ถึงแม้เขาจะรักสายน้ำมากแค่ไหน แต่ในเมื่อหญิงสาวยังไม่ตอบตกลง เขาก็ยังถือตัวว่าโสดเต็มที่ แต่หากวันไหนที่เธอตอบตกลงที่จะอยู่เคียงข้างเขาแล้ว ชายหนุ่มก็จะหยุดที่เธอเพียงคนเดียว
“อืม ดูก็ได้ เดี๋ยวกลับเร็วเกินแม่จะสงสัย หาอะไรฆ่าเวลาซักสองสามชั่วโมง”
ทั้งสองเดินขึ้นไปยังชั้นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์ทันที เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเลือกเรื่องที่อยากดูได้อย่างอิสระ เอาเถอะ แม่ตัวเล็กนี่ก็คงไม่พ้นหนังรักหรอก ความจริงถามว่าชอบไหม เขาตอบได้เลยว่าไม่ เขาชอบหนังแอ๊คชั่นมากกว่า แต่เพราะสายน้ำชอบ เขาเลยต้องยอมตามใจ
“เอาเรื่องนี้แหละ อยากดูมานานละ” นิ้วเล็กๆ ชี้ไปที่โปสเตอร์หนังฝรั่งสยองขวัญเรื่องหนึ่งที่ชายหนุ่มเห็นแล้วถึงกับสะดุ้งโหยง ซวยแล้วไง เขาลืมไปว่ายัยป้าหน้าเด็กนี่คือตุ๊กตาผี
“ไม่กลัวเหรอ” เขาลองหยั่งเชิงพลางหันไปชี้ชวนโปสเตอร์ข้างๆ “เรื่องนี้ไหม ผมดูด้วยได้”
“ไม่เอาอ่ะ ไหนว่าให้พี่...เอ๊ย ให้มินเลือก” น้ำเสียงไม่พอใจเริ่มมา
ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจหนักๆ “ห้ามร้องไห้ขอออกมากลางคันนะ” เขาขู่สำทับราวกับเธอเป็นน้องสาวตัวน้อย
หญิงสาวพยักหน้าเร็วๆ เหมือนกับเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ “อื้ม...เอาเรื่องนี้แหละ สัญญาเลยว่าจะดูจนจบ” หนังประเภทนี้ กว่าจะหาคนดูด้วยได้แสนยาก ปกติต้องลากพ่อมาด้วยถึงจะมีเพื่อน
คนตัวสูงต้องกลั้นยิ้มแทบแย่กับท่าทางน่ารักที่มันสวนทางกับอายุพลางก้าวนำไปซื้อตั๋ว
“เดี๋ยว รอบนี้พี่ เอ๊ยมินจ่าย เมื่อกี้น้อง เอ๊ยนายเลี้ยงข้าวไปแล้ว” เธอว่าอย่างใจป้ำขณะเดินนำ
มือใหญ่รีบเอื้อมไปดึงชายเสื้อเธอไว้พลางส่งสายตาดุแบบที่ไม่เคยจะได้ผล “ผมเป็นผู้ชาย”
หญิงสาวเพียงยกมุมปากคล้ายเยาะ “เฮ้ย...เราไม่ได้มาเดทกันแบบที่นายจะต้องเลี้ยงฉันตลอดนะ เพื่อนกันต้องหารสิถึงจะถูก”
เขาทำท่าจะอ้าปากค้านเธอก็รีบยกมือขึ้นห้าม “อย่าเถียง ไม่งั้นข้อตกลงที่ทำร่วมกันถือเป็นโมฆะ”
เฮ้อ...นี่เดี๋ยวนี้ยัยนี่เริ่มขู่เขามากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ นี่คิดถูกหรือคิดผิดนะที่ไปเสนอข้อตกลงอะไรแปลกๆ กับแม่ตุ๊กตาอาบยาพิษ แต่ยิ่งเห็นท่าเอาจริงเอาจังนั้นแล้ว เขาเลยได้แต่ถอนหายใจ “ตามนั้น”
มินรญายิ้มแก้มแทบปริแล้วจึงเดินออกไปซื้อตั๋ว พร้อมป๊อปคอร์นและน้ำอีกชุดใหญ่โดยมีคนตัวโตเข้ามาช่วยถือ หนังสยองขวัญในบ่ายวันจันทร์ช่างเงียบเหงาวังเวงดีเหลือเกิน ทั้งโรงมีผู้ชมเพียงสองคนในโซนเก้าอี้ฮันนีมูน หญิงสาวแทบจะร้องกู่ก้องเพราะไม่มีใครรบกวนสมาธิ
หนังเรื่องนี้ถูกสร้างมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง บางภาคก็ประสบความสำเร็จ น่ากลัวจนคนดูแทบจะร้องไห้ออกจากโรง บางปีก็กลายเป็นผีตุ้งแช่ตลกโปกฮาไปเสีย หญิงสาวได้แต่หวังว่าวันนี้มันจะน่ากลัวสุดๆ นะ
“หนาวไหม” ชายหนุ่มหันมาถามตามความเคยชิน เพราะปกติสายน้ำมักจะบ่นเสมอจนหลายครั้งเขาต้องกลับเข้าไปเอาเสื้อคลุมในรถมาให้
“นิดหน่อย มินมีผ้าคลุมไหล่” เธอดึงผ้าผิวมันลื่นในกระเป๋าออกมาโชว์พลางส่งยิ้มในความมืดมาให้
หนังเพิ่งฉายได้ไม่ถึงสามสิบนาที มินรญาก็แทบจะลุกหนีออกจากโรง นี่มันหนังผีหรือหนังตลกกันแน่ ทำไมมันปัญญาอ่อนจัง ดูสิ...ผีที่คลาสสิกของเธอ คลานไปคลานมาบนพื้นยังกะผีจูออน แล้วไหนจะเนื้อเรื่องที่ถูกดัดแปลงจนไม่สมเหตุสมผลนั่นอีก นางเอกคือจุดบอดที่สุด จะกรี๊ดไปไหน ก็รู้อยู่แล้วว่าบ้านนี้มีผี
เฮ้อ...ถือว่ามาดูหนังตลกก็แล้วกัน
มือเรียวเล็กเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำที่วางไว้ข้างๆ ตั้งใจจะยกขึ้นมาดูดเพื่อลดอาการขำ เธอแทบจะหลุดก๊ากมาหลายรอบแล้วถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคนข้างๆ อะนะ บางทีเขาอาจจะอินอยู่ เห็นนั่งเงียบเชียว แต่เพราะความมืดทำให้มือของเธอปัดไปโดนมือใหญ่ที่วางที่วางแขน
อ๊ะ...ทำไมตานี่สั่นเชียว
“นายหนาวเหรอ” หญิงสาวชะโงกหน้ามาถาม ไม่ต้องระวังมารยาทมากนักเพราะทั้งโรงมีกันอยู่สองคน
“เปล่า” เขาตอบเสียงห้วนแต่มือก็ยังสั่นอยู่ มินรญาจึงถือวิสาสะวางมือลงบนหลังมือของเขา
“แล้วไหงสั่นขนาดนี้ล่ะ” มือน้อยๆ ของเธออกแรงบีบ จะไม่หนาวได้ไง มือเย็นเฉียบขนาดนี้
“เปล่า” คราวนี้เสียงชายหนุ่มเบาหวิวจนเธอต้องชะโงกหน้าไปดู แล้วก็พบว่าเขากำลังหลับตาปี๋ ห๊ะ...หรือว่า
“อย่าบอกนะว่านายกลัวผี”
เมื่อโดนจับจุดได้ เขาเลยโพล่งออกไปอย่างลืมตัว “ไม่ใช่” แต่ยังคงไม่ลืมตา
คราวนี้เสียง คิก เลยหลุดมาจากริมฝีปากบาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “ฮ่าๆๆ นายกลัวผีก็ไม่บอก”
“ผมไม่ได้กลัว” เขาโต้กลับเสียงขื่น ขณะที่หล่อนถือโอกาสพลิกฝ่ามือเขาขึ้นมากุม มือใหญ่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ แถมเย็นเฉียบอีกต่างหาก พอรับรู้ถึงความอุ่นของมือเล็กๆ เขาจึงเผลอบีบราวกับต้องการที่พึ่ง
“จะออกไปไหม มินว่ามันก็ไม่ค่อยสนุกอ่ะ ตลกซะมากกว่าที่จะน่ากลัว”
ห๊า...ยัยป้าหน้าเด็กนี่บอกว่ามันตลกเหรอ ตลกตรงไหน น่ากลัวจะตายห่า นี่เขากลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว ขนาดหลับตาแทบจะตลอดเรื่องเขายังกลัวขนาดนี้
แต่เพราะสบประมาทเธอไว้ที่หน้าโรงหนัง ตัวเองเลยไม่ยอมลดทิฐิ
“ก็สนุกดี ดูให้จบเถอะ” ชายหนุ่มกลั้นใจตอบ เธอเพียงยักไหล่ ก่อนจะดึงมือกลับ หากแต่มือใหญ่ของเขากลับบีบไว้ไม่ยอมปล่อย หล่อนเพียงเอี้ยวตัวไปมอง เมื่อเห็นท่าทางหลับตาปี๋ของเขา ก็แทบจะหลุดหัวเราะ เอ้า...ยอมปล่อยให้จับมือไปอย่างนี้ก็ได้ เดี๋ยวจะกลัวจนฉี่ราดซะก่อน เมื่อเห็นว่าเธอไม่พยายามจะดึงมือเล็กๆ แสนอุ่นนี้ออก เขาก็ขอยึดเป็นที่พึ่งไปก่อนก็แล้วกันนะ
มินรญามองใบหน้าซีดขาวของคนตัวสูงด้วยแววตาเอ็นดู อยากขำก็ขำไม่ออก สงสารก็แสนสงสาร แต่ช่วยไม่ได้ อยากทำเป็นเก่งเองนี่นา
ต้นตระการนั่งพิงพนักเก้าอี้ด้านหน้าโรงหนังอย่างหมดสภาพ หมดกัน ภาพพจน์ของเขา เดทแรกก็ล่มไม่เป็นท่า แม้มันจะไม่อาจนับว่าเป็นเดทได้เต็มปากเต็มคำ แต่ต้องมาเสียท่าให้ยัยตัวเล็กนี่ เขาก็อายแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว สรุปไอ้แผนเอาคืนของเขา ใครกันแน่นะที่โดนเอาคืน
หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับท่าทางหมดอาลัยตายอยากแล้วจึงส่งแก้วน้ำพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กให้เขาเอาไปเช็ดเหงื่อ ชายหนุ่มรับทั้งสองอย่างไปอย่างไร้สติ ดูดน้ำหลายอึกพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่มีกลิ่นหอมของเธอเช็ดตามไรผม ยอมหมดรูปหนึ่งวันก็แล้วกัน
เธอรอจนเห็นว่าเขาอาการดีขึ้นแล้วจึงเอ่ยถาม “ไปไหนต่อไหม หรือจะกลับบ้านเลย”
“มินอยากไปไหนต่อไหม”
หล่อนเพียงยักไหล่ “ไม่รู้สิ นายอยากไปไหนไหมอ่ะ ปกติช่วงเย็นๆ นายทำอะไรล่ะ”
“งาน”
“นอกเหนือจากนั้นน่ะ”
“เล่นบาสฯ ดูแข่งบาสฯ แข่งบอล แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีอะไรน่าสนใจ”
หญิงสาวทำตาโตคล้ายคิดอะไรออก “งั้นไปเล่นบาสฯไหมล่ะ เดี๋ยวมินไปนั่งดู”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองเธออยู่นาน ผู้หญิงคนนี้ประหลาดเสียจริง ลักษณะนิสัยกับหน้าตาขัดกันไปหมด “ไม่กลัวเบื่อเหรอ”
คนโดนถามโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “รู้จักอดีตแชมป์ทีมหญิงน้อยไปแล้ว”
เขาเลิกคิ้วคล้ายแปลกใจ “อย่ามาอำน่า” พลางก้มลงมาเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าจนคนตัวเล็กเริ่มยัวะ
“การ์ดไม่จำเป็นต้องตัวสูงนี่ แค่คล่องก็ใช้ได้แล้ว อีกอย่างมินก็สูงเกือบจะร้อยหกสิบห้านะ” หญิงสาวประท้วงทันที ถ้าเทียบกับหญิงไทยทั่วไปเธอก็นับว่าสูง แต่ถ้าให้เทียบกับเขา มันก็คงต้องเรียกว่า เตี้ย นั่นล่ะ
ต้นส่ายหน้าพลางหลุดขำ “เออก็จริง มินจะเล่นด้วยไหมล่ะ”
เธอส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่ได้เอาชุดมา รองเท้าก็ไม่มี” แล้วก้มลงมองสารรูปตัวเองอย่างเสียดาย
“งั้นวันหลังก็แล้วกัน รอมินเตรียมชุดมาก่อนดีกว่า นั่งดูอย่างเดียวจะสนุกอะไร”
เธอจึงเป็นฝ่ายพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก็จริง นั่งดูเฉยๆเดี๋ยวก็คันไม้คันมืออยากเล่นอีก งั้นเอางี้ กลับบ้านใครบ้านมันไปกินข้าวฝีมือแม่ดีกว่า” แล้วก็สรุปง่ายๆ ทำเอาเขากุมขมับ
“กลับเร็วเดี๋ยวก็โดนสงสัยหรอก”
นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ดี คราวนี้คนตัวเล็กเริ่มทำหน้ายุ่ง “โอ๊ย...ทำไมนายเป็นผู้ชายที่เรื่องเยอะขนาดนี้เนี่ย ก็ไปกินข้าวบ้านมินนี่แหละ จบ!! ห้ามเถียง” สรุปเองเสร็จสรรพแล้วเดินนำไปที่จอดรถทันที ทิ้งให้หนึ่งหนุ่มที่เหลือได้แต่มองตาปริบๆ เพิ่งเคยเจอผู้หญิงสะบัดใส่