บทที่ 5
ขณะรอเวลาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทําตามคําสั่ง ล้านซ์ บาร์เรทท์ หันมาจ้องมองเอริน สัญชาตญาณของความเป็นผู้หญิงทําให้เธออดขยับตัวอย่างอึดอัดใจไม่ได้ เธออยากประสานสายตากับเขาอย่างไม่พรั่น แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางทำได้ เกิดมาในชีวิตเอรินไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวหรือตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นครั้งนี้เลย
ไมค์เป็นผู้ชายที่อ่อนวัยกว่าผู้บังคับบัญชาของเขาไม่น้อย เป็นคนรูปร่างค่อนข้างเตี้ยเรือนผมสีดํา สีหน้าไม่บอกความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น เหมาะกับงานที่ทําอยู่อย่างยิ่ง เอรินคิดอยู่ในใจ ว่าต่อให้เขาออกไปเดินอยู่ในท่ามกลางผู้คนก็จะไม่มีใครจําเขาได้
มิสเตอร์บาร์เรทท์รับแว่นตาของตัวเองกับกระเป๋าถือของเธอมาจากชายหนุ่มแล้วก็ถามออกไปว่า
“เรื่องรถล่ะ”
ไมค์หันมามองทางเอริน สีหน้ามิได้บอกความรู้สึกอะไรทั้งสิ้นเช่นเคย
“เรียบร้อย ล้านซ์ เพิ่งเช่าจากสนามบินซานฟรานโกเมื่อตอนเที่ยงวันนี้เอง”
“โอเค ขอบใจมาก เมื่อไมค์ขยับจะเดินจากไปมิสเตอร์บาร์เรทท์ก็เรียกเขาไว้ “เอาทุกอย่างที่อยู่ในรถ ไม่ว่าจะเป็นลุง กระเป๋าเดินทาง ทุกอย่างที่คุณคิดว่าสําคัญ เข้ามาให้ผมด้วย ยังไม่ได้ล็อครถไม่ใช่หรือ”
ไมค์เพียงพยักหน้ารับ เดินออกจากห้องไปพร้อมกับปิดประตูตามหลังลง
มิสเตอร์บาร์เรทท์หันมาเผชิญหน้าและตรึงเธอไว้ด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะยกแว่นตาขึ้นสวม
“เอาละ มิสโอ’เชีย พูดไปได้แล้ว” เขาเดินไปที่โต๊ะสําหรับเล่นไพ่ เททุกอย่างในกระเป๋าถือของเธอลงบนผ้ากำมะหยี่สีเขียว
“ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าคุณจะบอกให้ฉันรู้เสียก่อนว่านี่มันเรื่องอะไรกัน คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะมาดูหมิ่นแล้วก็ซักถามฉันอย่างนี้...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ มิสเตอร์บาร์เรทท์ คอยดูนะ ฉันจะร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของคุณที่คุณมาปฏิบัติต่อฉันอย่างหยาบคายอย่างนี้”
คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้น แววในดวงตาราวขบขันที่เธอแสดงความกล้าหาญออกมาด้วยคําพูดอย่างนั้น
“เชิญร้องเรียนได้เลย ทุกวันนี้เราก็ได้รับการร้องเรียนด้วยเรื่องที่มันหนักหนากว่านี้หลายเท่าอยู่แล้ว แต่จะยังไงก็ตามนะคุณผู้หญิง ผมว่าตอนนี้คุณไม่อยู่ในฐานะที่จะมายื่นคําขาดอะไรกับผมหรอก เพราะคุณอาจจะทําให้ผมเกิดความโมโหขึ้นมาได้ง่าย ๆ และมันเป็นอะไรบางอย่างที่ผมอยากจะแนะนําให้คุณหลีกเลี่ยงถ้าทําได้” เขากวาดสายตามองไปทั่วตัวอย่างดูหมิ่น ขณะที่ใบหน้าของเอรินแดงก่ำเมื่อนึกถึงว่า เมื่อครู่นี้เขาจูบเธอแบบไหน ไม่เข้าใจเลยว่าทําไมเขาถึงต้องทําอย่างนั้นด้วย
“เอ้า...พูดเสียทีสิ” เสียงที่ออกคําสั่งบอกลางร้าย
ก็ได้...คุณตํารวจ ฉันจะลองเล่นเกมนี้กับคุณสักพักก็ได้ คอยดูนะ...คุณจะต้องเดือดร้อนแน่ที่มาแสดงท่าดูถูกดูหมิ่นฉันอย่างนี้
“คุณอยากจะรู้อะไรล่ะ” เธอย้อนถาม
“ชื่อของคุณ”
“ฉันก็บอกคุณไปแล้วนี่”
“บอกอีกทีสิ”
“เอริน โอ’เชีย” เธอถอนหายใจ
“บ้านเลขที่”
“4435 เมโดว์บรู๊ค โร้ด, ฮิวสตัน, เท็กซัส”
“ตรงกับใบขับขี่ ดีมาก” ขณะที่ฟังเธอพูดเขาก็ตรวจทุกสิ่งที่เทออกมาจากกระเป๋า หยิบใบขับขี่ขึ้นมาพิจารณา เปิดซองเงินใช้นิ้วกรีดไปตามธนบัตรราคาต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว หยิบสมุดเช็คขึ้นมาพลิกดูรายการที่เธอสั่งจ่ายไปแล้ว “เอ้า...ว่าต่อไปสิ” เขาสั่งเมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบอยู่
“อะไรอีกล่ะ”
“ผมอยากรู้ว่าคุณมาที่นี่ทําไม”
“เรื่องนั้นฉันก็เล่าให้คุณฟังแล้วอีกนั่นแหละ” เธอตอบเสียงขุ่น ความอดทนใกล้จะหมดลงทุกที เบื่อหน่ายกับเกมส์การสอบปากคําแบบนี้ของเขา
เขามองเธอด้วยสายตาคมปลาบราวจะแทงให้ทะลุเข้าไปให้ถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“ก็เล่าซ้ำได้นี่” น้ำเสียงเยียบเย็นทําให้เธอไม่กล้าโต้แย้งอีกต่อไป
“ฉันถูกขอไปเลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นทารก เป็นเวลาหลายปีที่ฉันพยายามสืบหาพ่อแม่ที่แท้จริงรวมทั้งพี่ชายที่ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่ามีกับเขาด้วย เราต้องแยกกันอยู่ เพราะต่างคนต่างมีพ่อแม่บุญธรรมรับไปอุปถัมภ์ ที่เป็นเช่นนี้เพราะทางสถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าคงจะไม่รู้สึกกับเรื่องแบบนี้หรอก
เขารูดซิปกระเป๋าพลาสติกใสที่ภายในบรรจุเครื่องสําอาง หยิบลิปสติคออกมาดู เปิดกล่องแป้งผัดหน้า หยิบขวดแก้วเจียระไนที่ใส่น้ำหอมราคาแพงออกมาเปิดเผย เปิดกล่องพลาสติกเล็กที่ภายในบรรจุยาเม็ดเล็ก ๆ ไว้
“นั่นแอสไพริน” เธอบอก น้ำเสียงเหมือนป้องกันตัวเอง เขาเพียงพยักหน้าปิดกล่องไว้ตามเดิม
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ เล่าต่อไป”
“ฉันรู้มาว่าเคนเนธ ไลแมน คือพี่ชายของฉัน ที่เดินทางมาจากฮิวสตันวันนี้ก็เพื่อจะมาแนะนําตัวเองให้เขาได้รู้จักไว้ เรื่องทั้งหมดมันก็มีอยู่แค่นี้ ที่เหลือคุณก็รับรู้จากการบอกเล่าของฉันในตอนแรกหมดแล้ว กรุณาเล่าให้ฉันฟังหน่อยเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เขารูดซิปกระเป๋าพลาสติกใบนั้นแล้วก็โยนลงกลางโต๊ะ ดันแว่นตาขึ้นไปไว้เหนือหน้าผากพิงสะโพกอยู่กับมุมโต๊ะ ยกมือขึ้นกอดอกไว้ จับตามองหน้าเธออยู่อย่างพิจารณา
“เคนเนธ ไลแมน ยักยอกเงินจํานวนเจ็ดแสนห้าหมื่นดอลล่าร์ไปจากเยอร์บา บูเอน่า เนชั่นแนล แบ๊งค์ เมื่อสิบวันก่อน และจนบัดนี้ก็ยังหาตัวไม่พบ”
คําบอกเล่าของเขากระทบใจเอรินอย่างรุนแรง เป็นครู่ที่เธอเบิกตาโพลง นิ่งอั้นพูดอะไรไม่ออก หายใจไม่ออกด้วยซ้ำ มันเป็นข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับเธออย่างเหลือประมาณ
ก่อนที่เธอจะทันพูดอะไรออกมา ไมค์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางสองใบและเสื้อคลุมหนังของเธอ เขาวางกระเป๋าลงบนพื้นห้อง เอาเสื้อพาดลงกับพนักเก้าอี้แล้วก็กลับออกไปเงียบ ๆ เหมือนตอนที่เข้ามา
“ลองใช้ความพยายามอีกครั้งสิมิสโอ’เชีย...ผมหวังว่านั่นจะเป็นชื่อจริงของคุณนะ” มิสเตอร์บาร์เรทท์กล่าวต่อ “คุณรู้จักไลแมนมานานเท่าไหร่แล้ว”
เอรินเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิม แววในดวงตาที่มองเขายามนี้ราวไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองกําลังได้ยินอยู่
“ฉันไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาเลยนะ...” เธอร้องออกมาดังลั่น “ฉันบอกคุณแล้วไงล่ะว่า...”
“มิสโอ’เชียเรื่องที่คุณบอกน่ะผมรู้แล้ว แต่คุณก็ต้องยอมรับด้วยว่ามันมีความเป็นไปไม่ได้อย่างมาก ผมว่าเรามาพูดกันตรงๆดีกว่าน่า...คุณร่วมมือกับไลแมนใช่ไหมล่ะ”
“อะไรนะ...” เธอถลันลุกขึ้นจากที่นั่ง “นี่คุณคงบ้าแน่เลย”
“นั่งลง” เขาสั่งเสียงกร้าว แววในดวงตาของเขาทําให้เธอต้องก้าวถอยหลัง จนน่องสัมผัสกับเก้าอี้จึงได้ทิ้งตัวลง “เกิดมาในชีวิตฉันยังไม่เคยรู้จักหน้าตาของพี่ชายเลยนะคะ” เธอตอบช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เขาคุกเข่าลงข้างกระเป๋าเดินทาง กดปุ่มเปิดออก ทั้งชุดชั้นในและเสื้อนอนแผ่อยู่ตรงหน้า เขาหยิบแต่ละชิ้นขึ้นมาตรวจตรา
เสื้อนอนสีฟ้าประกอบด้วยลูกไม้โปร่งบางอ่อนหวาน ดูจะเรียกความสนใจของเขาอยู่มาก
“สวยดีนี่” เขามองหน้าเธออยู่ เอรินหน้าตาแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งอาย “ผมกําลังรอฟังอยู่ พูดต่อไปสิ” เขายังคงตรวจเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางใบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ
“เพื่ออะไร...คุณอยากฟังคําสารภาพของฉันงั้นหรือคะ” เธอถามเสียงหวาน
เขาผลุดลุกขึ้นชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ก่อนที่เธอจะพูดขาดคําลงเสียด้วยซ้ำ
“นี่...ผมเบื่อคำพูดที่มีแต่เลศนัยของคุณเต็มทีแล้วนะ เวลานี้สิ่งที่ผมต้องการได้ยินจากปากคุณคือความจริง และต้องการรู้เดี๋ยวนี้ด้วย คุณเข้าใจที่ผมพูดบ้างหรือเปล่า” มือทั้งสองข้างของเขาเท้าอยู่กับที่นั่งข้างสะโพกเธอนั่นเอง ราวตรึงเธอไว้ใต้ร่างเขา ลมหายใจอุ่น ๆ ลวกอยู่บนใบหน้า ดวงตาคู่สีฟ้าเข้มเปล่งแววขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด
“เข้าใจค่ะ” เธอกัดฟันตอบ
เขาจึงได้ยืดร่างขึ้นพร้อมกับถอยห่างออกมา หรือเขาจะผิดหวังกับตนเองที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้...ดูเหมือนเขาจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะตั้งสติไว้ให้มั่น
“ก่อนอื่น ผมต้องการรู้ว่าคุณทํามาหากินอะไร”
“ฉันก็บอกแล้วว่า...” เธอต้องชะงักคําพูดลงเมื่อเห็นความขุ่นเคืองฉายแสงขึ้นในดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง ต้องกล้ำกลืนความคั่งแค้นลงไว้เพื่อตอบต่อไปว่า... “ฉันมีบริษัทชื่อสปอตไล้ท์ รับจัดแฟชั่นโชว์ให้กับห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ สถานที่ราชการหรือองค์การต่าง ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นบุคคล...พูดง่าย ๆ ก็คือใครก็ตามที่ต้องการใช้บริการของเรา เรารับภาระทุกอย่างตั้งแต่การว่าจ้างนางแบบ เลือกสรรเสื้อผ้า ส่งดอกไม้ทั้งตกแต่งสถานที่และสําหรับใช้ในงานเป็นของชําร่วยหรืออะไรก็ตาม ไปจนกระทั่งถึงพวกเครื่องดื่ม”
“ขอโทษนะมิสโอ’เชีย ผมคิดว่าคนที่ทํางานแบบคุณ ไม่น่าจะมีปัญญาเช่ารถเบนซ์มาขับได้หรอก เพราะเท่าที่ผมดูจากซองเงินที่คุณพกติดตัวมามันมีอยู่แค่ห้าร้อยหกสิบเหรียญเท่านั้นนี่ แถมคุณยังสวมชุดของออสการ์ เดอ ลาเรนต้าอีกด้วย มันก็แปลกอยู่นะ”
เขาสามารถรู้จํานวนเงินสดที่เธอมีติดอยู่ในกระเป๋าได้อย่างไร ในเมื่อเธอเห็นเขาเพียงแค่กรีด ๆ ดูเท่านั้น...แล้วทําไมเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ว่ามันเป็นของห้องเสื้อแห่งไหน...