บทที่ 4
เธอรู้สึกฝืดคอขึ้นมาทันที่อยากจะให้เขาปล่อยมือที่เกาะกุมลงเสีย ไม่มีประโยชน์ที่จะออกแรงดึง เพราะนิ้วที่รวบรัดไว้แข็งแรงราวปลอกเหล็ก เธอเห็นเงาของตัวเองในดวงตาน้ำเงินเข้มคู่นั้น แววในดวงตาของเธอจึงเปล่งแสงแห่งความหวาดหวั่นออกมา ถามเสียงสั่นว่า
“หมายความว่ายังไงคะ”
ก่อนที่เธอจะทันกะพริบตาเขาก็ลุกขึ้นและเดินอ้อมโต๊ะเข้ามาถึงตัวแล้ว และก่อนที่เธอจะทันพูดอะไรออกมา เขาก็รั้งร่างให้ยืนขึ้นโอบร่างเธอไว้ในวงแขน มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในเรือนผมหยักสลวย ขณะบังคับให้เธอแหงนหน้าขึ้นและก้มลงจรดจ้องมองเธออยู่
“มันจะมีวิธีไหนที่เราจะรู้จักซึ่งกันและกันดีกว่าการจูบด้วยความเสน่หาฉันพี่น้องจริงไหม”
แต่ใบหน้าที่เคลื่อนลงมาหานั้น มิได้มีความรู้สึกรักใคร่ฉันพี่ชายต่อน้องสาวเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นความรู้สึกที่เอรินสัมผัสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะรุกรานเธอด้วยริมฝีปาก ปลายนิ้วแข็ง ๆ กระชับแน่นอยู่กับปอยผม จนทําให้หยาดน้ำตาที่เกิดขึ้นด้วยความเจ็บคละเคล้าอยู่กับความรู้สึกอัปยศอดสูที่คลอดลองอยู่ในเบ้าก่อนแล้ว แขนอีกข้างหนึ่งของเขาโอบกระหวัดรัดอยู่รอบแผ่นหลัง ตรึงแขนของเธอไว้ข้างลําตัวกดร่างเธอแนบอยู่กับแผงอก
เอรินพยายามจะเบี่ยงตัวออก แต่ความเคลื่อนไหวของเธอทำให้เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม เธอกรีดร้องอยู่ในลําคอ...เพียงแต่เสียงร้องนั้นถูกกล้ำกลืนไว้ด้วยปากที่กดประทับลงอย่างหักหาญ และเธอก็สิ้นเรี่ยวแรงที่จะป้องกันไม่ให้ปลายลิ้นของเขาสอดแทรกเข้าไปในเรียวปากได้
เกิดมาในชีวิตเธอยังไม่เคยถูกใครจูบแบบนี้มาก่อน มันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงอย่างที่สุดเป็นบาปหนาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาเป็นเพียงพี่น้องกัน เขาไม่น่าจะรุกรานเธอแบบนี้
แต่ขณะเดียวกันเอรินก็ยอมรับว่ามันสร้างความตื่นใจให้เกิดขึ้นได้อย่างมาก...
เธอพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะควบคุมตัวเองไว้... เพียงแต่ไม่ใช่การควบคุมทางด้านร่างกาย เพราะขณะนี้ร่างกายที่อ่อนเปลี้ยย่อมไร้ประโยชน์ และทั้งที่เกิดความรู้สึกอับอายไม่น้อย แต่เธอก็ยังเอนอิงพิงอยู่กับร่างของเขา และกําลังต่อสู้กับความรู้สึกที่เกิดอยู่ในใจอย่างรุนแรง
เธอพยายามสงบระงับอารมณ์กับความรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวไว้อย่างสุดความสามารถ มันกําลังจะทําให้เนื้อตัวสั่นสะท้าน มันมีความเสียวซ่านเกิดขึ้นในช่องท้องที่เธอแสร้งทําเป็นไม่สนใจเสีย ดวงตาที่เมื่อครู่เบิกกว้างด้วยความแปลกใจผสมอยู่กับความขัดเคือง ปรือลงราวกับมีชีวิตจิตใจของตัวเอง ไม่ยอมรับฟังคําสั่งจากสมองที่พยายามบังคับให้มันเบิกกว้างไว้
มีเสียงกุญแจถูกสอดเข้ารูกุญแจตรงประตูหลัง ซึ่งช่วยให้เอรินรอดพ้นจากสถานการณ์ที่เกือบจะเลวร้ายลงไปกว่านั้นไว้ได้อย่างทันท่วงที เธอดิ้นรนเต็มแรงจนผละออกจากอ้อมแขนเขาได้ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและลดแขนทั้งสองข้างลง เขาหันไปมองทางประตู แต่ยังจับแขนเอรินไว้
ผู้หญิงคนที่เดินผ่านประตูเข้ามาท่าทางแฉล้มแช่มช้อย หน้าตาสะสวยและยังดูอ่อนวัยอยู่มาก รอยยิ้มอ่อนหวานเหมือนยิ้มของเด็กฉาบอยู่บนใบหน้า แม้จะมีแววเศร้าเคล้าแววกังวลแฝงอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลสวยคู่นั้น
เมื่อเห็นบุคคลสองคนยืนอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันตรงกึ่งกลางห้อง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป บอกความละอายใจอย่างเห็นได้ชัดและดูจะเผือดซีดลงกว่าเดิม
ท่าทางของฝ่ายชายดูแข็งกระด้าง ชาเย็นและน่ากลัวนัก เขาคือผู้ที่เธอกําลังมองอยู่ขณะนี้
“เฮลโล...มิสซิสไลแมน”
“มิสเตอร์บาร์เรทท์” เธอกล่าวตอบด้วยท่าทางขัดเขิน “นี่...”
“มิสซิสไลแมนครับ ผมอยากถามว่าคุณรู้จักผู้หญิงคนนี้หรือเปล่า” เขาขัดขึ้น “เคยเห็นเขามาก่อนบ้างไหมครับ”
ผู้หญิงสาวสวยผู้ได้รับการเรียกขานว่ามิสซิสไลแมนจากผู้ชายที่ควรจะอยู่ในฐานะสามีของเธอหันมามองเอรินเต็มตาแล้วก็สั่นศีรษะ
“ไม่เคยเลยค่ะ มิสเตอร์บาร์เรทท์ ฉันไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลย”
บาร์เรทท์...บาร์เรทท์...
เอรินเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายคนที่ยังโอบเธอไว้ในอ้อมแขนด้วยความตกใจเป็นล้นพ้น ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นประสานอยู่กับเธออย่างไม่หวั่นไหว
“คุณเป็นใคร” เธอถามเสียงเครียด
“นั่นคือสิ่งที่ผมเองก็อยากจะถามคุณอยู่เหมือนกัน” เขาคำรามออกมาขณะลากแขนเธอให้เดินออกจากครัว ขณะเดียวกันก็หันไปออกคําสั่งกับเมลานี่ ไลแมน ที่ยืนตะลึงอยู่ว่า “มิสซิสไลแมน ช่วยเรียกไมค์ที่อยู่ฟากถนนตรงข้ามให้มาที่นี่ให้เขาจัดการมอนิเตอร์โทรศัพท์ที บอกเขาด้วยว่าให้ค้นรถคันที่จอดอยู่ข้างนอกด้วย ผมจะอยู่ในห้องทํางาน กรุณาอย่าให้ใครเข้ามารบกวนนอกจากเรื่องด่วนจริงๆ แล้วกรุณาอย่าออกจากบ้านอีกนะครับ ถ้าจําเป็นต้องมีคนของผมคนหนึ่งไปกับคุณด้วย”
“ฉันไม่ออกไปไหนหรอกค่ะ” เอรินได้ยินเธอตอบอย่างสงบเสงี่ยม เห็นได้ชัดว่าเธอเคยชินเสียแล้วกับการรับคําสั่งจากผู้ชายท่าทางหยาบคายคนนี้ แต่เอริน โอ’ เชีย ไม่ยอมแน่ ทันที่ที่สามารถทําได้เธอจะตบหน้าเขาเสียให้สะใจทีเดียวก่อนที่เขาจะทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
เขาผลักเธอเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ที่ผนังทุกด้านประกบไว้ด้วยไม้อัดฉาบแล็คเคอร์ พร้อมกับกระแทกประตูปิดตามหลังโครมใหญ่ เธอหันขวับไปเผชิญหน้าพร้อมที่จะต่อสู้เต็มที่
แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเขากระชากเสื้อแจ๊คเก็ตตัวนอกของเธอออกจากช่วงไหล่ และท่อนแขนอย่างรวดเร็ว โยนลงบนโซฟาเบาะหุ้มหนัง เธอตะลึงงันจนเกินกว่าจะทันร้องทักท้วง เมื่อเขากระชากชายเสื้อสีเขียวตัวในออกจากขอบกระโปรง ผลักร่างเธอเข้าไปที่ผนังด้านหนึ่งให้ยืนอยู่ในท่าหันหลัง และจับมือทั้งสองข้างขึ้นยันกับผนังเหนือศีรษะ
เธอร้องออกมาด้วยความอัปยศอดสูและขุ่นแค้น เมื่อเขาสอดมือเข้าไปใต้รักแร้และเลือนลงมาตามด้านข้างของลําตัว มันเคลื่อนลงไปตามชายโครง ไล่ไปตามเนินทรวง ระเรื่อยลงมาถึงช่วงเอวสอดซุกเข้าไปในขอบกระโปรงไล่ไปตามหน้าท้องและสะโพก จนเมื่อพอใจแล้วเขาจึงได้กระชากไหล่ให้เธอหันมาเผชิญหน้า
เกิดมาในชีวิตเธอไม่เคยเกิดความโกรธแค้นใครเท่าในนาทีนี้เลย เลือดในกายเดือดพล่าน สมองแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ เอรินต้องกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อที่จะมองทุกสิ่งทุกอย่างให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งดูจะทําได้ยากลําบากเพราะความแค้นแน่นใจขณะนี้
“ไม่คิดจะแก้ผ้าฉันค้นตัวบ้างเลยหรือไง” เธอตวาดเสียงเกรี้ยว
“ผมจะทําต่อเมื่อจําเป็น แต่สําหรับตอนนี้ยังไม่ต้อง แต่อย่าดีใจกับโชคของตัวเองให้มากเกินไปนักก็แล้วกัน”
คำตอบกวนประสาทของเขาที่ซ่อนความหมายอันเป็นนัยไว้ยิ่งทําให้เธอโมโหหนักขึ้นกว่าเดิม ยกมือขึ้นผลักร่างเขาให้ห่างออก แล้วก็ต้องแปลกใจที่เขาปฏิบัติตามอย่างง่ายดาย ก้าวถอยหลังออกห่าง
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาทํากับฉันแบบนี้ ฉันต้องการให้คุณอธิบายมาเดี๋ยวนี้” เธอรู้ว่าคําพูดของตัวเองไม่มีน้ำหนักพอที่จะนํามาใช้บังคับคนหยาบคายอย่างเขา เพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังรู้สึกว่ามันเหมือนเด็กที่กําลังข่มขู่ผู้ใหญ่มากกว่า แต่เธอไม่สามารถจะพูดอะไรให้ดีกว่านี้ได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในอารมณ์เช่นนี้
“ง่ายมากคุณผู้หญิง ผมเองก็กําลังคิดที่จะแนะนําตัวให้รู้จักอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นเราจะเลิกพูดจากันด้วยอารมณ์ แต่มาพูดกันให้มันตรงประเด็นไปเลยว่าคุณเป็นใคร นั่นแหละที่ผมอยากรู้มากที่สุด”
เขาควักซองบาง ๆ ออกมาจากกระเป๋าหลังพลิกเปิดออก ชูห่างจากใบหน้าเธอไม่ถึงนิ้ว เพื่อจะให้เธออ่านได้อย่างชัดเจน...ลอเรนซ์ เจมส์ บาร์เรทท์, ยูไนเต็ด สเตท ดีพาร์ทเม้นท์ ออฟ เธอะ เทรชเชอริ
ดวงตาที่เบิกโพลงเลื่อนจากบัตรแผ่นนั้นมามองหน้า ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นกําลังจรดจ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว เอรินมีความรู้สึกเหมือนร่างกายจะถูกหลอมละลายด้วยฤทธิ์แรงแห่งสายตาคู่นั้น ทั้งพลังและความเคืองแค้นจะมลายหายไปสิ้น
พระเจ้า...นี่เธอเดินมาสะดุดอะไรเข้า...
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะครับมิสโอ’เชีย” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยันเยาะ เอื้อมมาคว้าแขนไว้อย่างไม่ปรานี ดึงไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง
เอรินทั้งตกตะลึงและตกใจจนเกินกว่าจะคัดค้านหรือทักท้วงอะไรได้ สัญชาตญาณกระมังที่ทําให้เธอปฏิบัติตามคําสั่งของเขาอย่างว่าง่าย ทิ้งตัวลงนั่งในโซฟาตัวนั้น
มิสเตอร์บาร์เรทท์ควานมือลงไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตของเธอ เมื่อไม่พบอะไร เขาก็โยนลงไว้บนโซฟาตามเดิม เอรินหยิบมาพับให้เรียบร้อยแล้วเอาวางไว้ข้างตัว ไม่คิดที่จะสวมใส่หรือเอาชายเสื้อสอดเข้าไว้ใต้ขอบกระโปรงตามเดิม ความร้อนที่เกิดอยู่กับตัวเธอในยามนี้ มันมากมายผิดปกติแน่นอน
เขาเดินไปเปิดประตู
“ไมค์...” เขาตะโกนเรียกออกไป
“ครับ ล้านซ์”
“ช่วยเอากระเป๋าถือที่วางอยู่ในห้องรับแขกเข้ามาให้ผมในนี้ที”
“ได้ครับ” เสียงของผู้ชายคนเดิมตอบกลับมา
“แล้วช่วยดูหน่อยสิว่าแว่นตาผมอยู่ไหน”
“อยู่บนโต๊ะใกล้เก้าอี้ตัวที่คุณนั่งอยู่ก่อนไงล่ะ” เอรินเอ่ยออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาหันขวับมามองเธออย่างแปลกใจ สายตาของเขาทําให้เอรินอยากกัดลิ้นตัวเองเสีย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเธอกําลังจับตามองอากัปกิริยาของเขาอยู่
“ลองดูบนโต๊ะสิ” เขาตะโกนสั่งออกไปอีกครั้ง