บทที่ 3
แว่นตาที่แกว่งอยู่ในมือเคลื่อนขึ้นไปประกบอยู่กับดวงตาของเขาอีกครั้ง เขาเพ่งสายตาย่านกระจกเลนส์อยู่กับใบหน้าของเธออีกเป็นครู่ ในที่สุดก็ถอดออก เอาวางลงบนโต๊ะใกล้ศอก
“อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่ออกจะแปลกอยู่เหมือนกันนะ รูปร่างหน้าตาของเราสองคนก็ไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึงกันเลย แล้วใครเล่าเขาจะเชื่อว่าเราเป็นพี่น้องกันจริง”
เธอหัวเราะเสียงใส ดีใจที่เขาเริ่มสนทนากับเธอด้วยท่าทางปกติธรรมดาขึ้นมาก รอยเครียดตรงมุมปากดูอ่อนโยนลง เอรินบอกตัวเองอยู่ว่า...เธอควรจะอดทนต่อกิริยาท่าทางที่เขาแสดงออกให้มาก เพราะอย่างน้อยวันนี้เธอก็สร้างความหนักใจให้กับเขามาไม่น้อยเลย
“ฉันเองก็คิดอย่างนั้นค่ะตอนที่คุณเดินไปเปิดประตูบ้าน รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าเราไม่เหมือนกันเลย”
สายตาที่เขามองเธอยามนี้ สํารวจรายละเอียดทุกองค์ประกอบบนใบหน้าของเธออยู่ และเอรินก็นั่งนิ่งๆ ขณะที่เขาสํารวจอยู่นั้น ยอมให้เขาทําในสิ่งเดียวกับที่เธอได้ทํามาแล้วตอนที่เห็นหน้าเขาครั้งแรก
เขามองเรือนผมที่หยักสลวยที่ปกคลุมศีรษะและปัดขึ้นทางด้านข้างให้พ้นจากใบหน้า คิ้วสีดําเรียวงามเป็นกรอบหน้าที่อยู่เหนือดวงตา...ซึ่งเขาคิดอยู่ในใจว่าสวยเหมือนดวงตาของนาตาลี วู้ด ดวงตาคู่กลมโตดําสนิท
เอรินจําได้ว่า เมื่อตอนอยู่ในนิวยอร์ค เธอได้รับความรู้มาจากนักแต่งหน้าผู้มีชื่อเสียงที่สอนให้เธอรู้จักวิธีที่จะเน้นความงามของดวงตาคู่นี้ด้วยการใช้ดินสอแรเงา แต่เพียงบางเบา และผลที่เกิดตามมาก็คือ ใครก็ตามที่ได้เห็นเธอเป็นครั้งแรกจะต้องมองตามจนเหลียวหลัง แววในดวงตาของเอรินนั้นสามารถจะแสดงออกถึงความรู้สึกและความคิดที่อยู่ในใจยิ่งกว่าที่จะกล่าวออกมาเป็นคําพูด
มันทําให้เธอใจคอระส่ำระสายขึ้นมาอีก เมื่อเห็นพี่ชายสํารวจใบหน้าของเธอด้วยความสนใจอย่างมากเช่นนี้ และยิ่งกว่านั้น สายตาของเขาก็ยังจรดจ้องมองเรียวปากที่อ่อนละมุนชุ่มชื้นและเคยชินกับการยิ้มเยื้อนอยู่อีกเป็นครู่
ขณะที่สายตาของเขาไล่จากปลายคางลงมายังช่วงลําคอนั้น ดูเหมือนเขาจะบันทึกลงไว้ด้วยความสังเกตถึงผิวพรรณที่ขาวผ่องเปล่งปลั่งตัดกับเรือนผมสีดําสนิทและดวงตาคู่นั้นอย่างมาก
มันมีความรู้สึกขัดเขินบังเกิดขึ้น จนเอรินต้องเอามือลูบกระโปรงที่ตัดเย็บด้วยผ้าขนสัตว์สีขาวเข้ากับสูทเสื้อสั้นตัวในสีเขียวมรกตดูจะคับขึ้นมาจนหายใจไม่ออกราวสวมเสื้อเกราะไม่มีผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสายตาของเขาจ้องจับอยู่ที่สร้อยปะการังสายเดียวที่แนบอยู่กับทรวงอก เธอลดขาที่ไขว่ห้างลงด้วยความขัดเขิน เมื่อสายตาคู่นั้นไล่จากหัวเข่าลงไปจนถึงรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้ากับกระเป๋าถือ
ในที่สุด สายตาคู่นั้นก็เลื่อนขึ้นมองใบหน้าเธออีกครั้ง พร้อมกับที่เขาลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ผู้ชายทุกคนใช่ว่าจะโชคดีมีน้องสาวกันหมดหรอกนะ” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบก้มลงมองหน้าเธออยู่ “การที่ได้รู้ว่ายังมีน้องสาวอยู่ร่วมโลกอีกคนต้องถือว่าเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ และยิ่งมีน้องสาวที่สวยขนาดคุณยิ่งต้องถือว่าเป็นโชคดีใหญ่เข้าไปอีก”
“ขอบคุณค่ะเคนเนธ” เธอร้องออกมาด้วยความดีใจ เลือดซ่านขึ้นสู่ผิวแก้ม เปรมปลื้มที่เขาภาคภูมิใจในตัวเธอ
บางที เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เธอกับคนแปลกหน้าคนนี้จะรู้จักกันและกันดีขึ้นและเข้ากันได้ และบางทีความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะทําให้เธอกับเขารักใคร่ห่วงใยในกันและกันได้ด้วย
“คุณจะดื่มอะไรสักหน่อยไหมล่ะ” เขายื่นมือมาตรงหน้า และเธอก็รีบจับมือนั้นไว้ด้วยความกระตือรือร้นดึงตัวเองขึ้นจากเก้าอี้ ฝ่ามือนั้นอบอุ่นยิ่งนักเมื่อเขาเกาะกุมมือเรียวงามของเธอไว้
“ดีสิคะ ขอบคุณมาก เที่ยวบินที่ฉันมาคนแน่นออก แล้วฉันที่ทั้งตื่นเต้นทั้งรีบเลยไม่อยากแวะที่ไหน อยากจะมาให้ถึงที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่านั้น...เอ้อ...เคนเนธคะ...คุณคงไม่คิดว่าฉันหยาบคายหรอกนะที่อยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาอย่างนี้ ฉันไม่อยากทําเพียงแค่การแนะนําตัวเองทางโทรศัพท์ค่ะ คิดว่ามันจะดีกว่ามากถ้าได้มาเห็นหน้าเห็นตากันอย่างนี้”
“คุณทําถูกแล้วละ ผมเองก็ดีใจที่คุณตรงมาที่นี่เลย”
เขาพาเธอเดินผ่านเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องโถงกลาง ผ่านห้องรับประทานอาหารเลยลึกเข้าไปยังห้องครัวที่เปิดรับแสงสว่างได้โดยรอบ เธอมองออกไปนอกหน้าต่างบ้านของเคนเนธตั้งอยู่บนเนินเขา แต่น่าเสียดายที่มองไม่เห็นทัศนียภาพของเวิ้งอ่าว หรือสะพานโกลเด้น เกท หรือทัศนียภาพอื่นใดที่เป็นจุดเด่นของเมืองนี้ จะเห็นก็แต่เพียงหลังคาบ้านที่ลดหลั่นกันลงไปตามความลาดของแนวเนิน
เคนเนธชี้ให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่รอบโต๊ะกลมกลางครัว
“คุณจะดื่มอะไรดีล่ะ โค้ก เบียร์ หรือว่าไวน์”
“โค้กค่ะ ขอบคุณ” เธอตอบเสียงใส “ฉันอยากพบภรรยาคุณด้วยนะคะ เขาเคยรู้หรือเปล่าว่าคุณเป็นลูกบุญธรรม”
มันคล้ายกับเขาแสร้งทําเป็นไม่ได้ยินคําถามของเธอ เมื่อสาละวนอยู่กับการเปิดขวดน้ำอัดลม และเอื้อมไปหยิบแก้วที่อยู่ในเหนือเคาน์เตอร์พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า
“อีกสักครู่เมลานี่คงจะกลับมาแล้ว เขามีธุระด่วนต้องรีบไปทํา”
“แล้วคุณกับเขาแต่งงานกันมานานเท่าไหร่แล้วคะ”
ท่าทางของเขาเหมือนชะงักเมื่อยื่นแก้วโค้กมาให้ตรงหน้า
“ถึงเวลานี้ก็หลายปีแล้ว” น้ำเสียงที่ตอบดีขึ้นจากรอยยิ้มบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เป็นครั้งแรกที่เอรินได้เห็นไรฟันทั้งเรียบและขาวสะอ้าน หน้าตาของเขาจะดีกว่านี้มาก ถ้าจะไม่แฝงไว้ด้วยแววของความระแวงสงสัยตลอดเวลาอย่างนี้
“คุณเองก็แต่งงานแล้วเหมือนกันกันนี่นะ” เขาเอ่ยขึ้นลอย ๆ เมื่อทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ตรงข้าม
เธอก้มลงมองแหวนเพชรเม็ดใหญ่ที่สวมสอดอยู่ในนิ้วนางข้างซ้าย
“ยังหรอกค่ะ เราเพิ่งจะหมั้นกันเท่านั้น” มันมีเหตุผลบางประการที่เธอยังไม่อยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับบาร์ทให้เขาฟังในตอนนี้ ถ้าจะพูดถึงบาร์ทยังมีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีกนาน และเธอไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับโอกาสพิเศษที่หาได้ยากยิ่งในชีวิตครั้งนี้
“เล่าเรื่องงานที่ทำอยู่ให้ฉันฟังบ้างสิคะ” เธอเอ่ยออกไปด้วยเจตนาจะเปลี่ยนเรื่องพูดเท่านั้น
“เรื่องงาน...จะอยากรู้ไปทําไม” เขาสวนคําถามกลับมาทันที และเอรินออกจะตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นเขาจ้องหน้าเธออย่างเคร่งขรึม จนทําให้เธอมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในห้องทดลองก็ไม่ปาน
“ฉันรู้แต่เพียงว่าคุณทํางานอยู่ที่ธนาคาร เพียงแต่ไม่รู้ว่าทําหน้าที่อะไรเท่านั้นละค่ะ”
“ก็...” เขายักไหล่ “ผมก็ทําไอ้โน่นนิดได้นี่หน่อยไปตามเรื่อง”
“งั้นหรือ...” เธอไม่เข้าใจในคําตอบของเขาแม้แต่น้อย
“แล้วคุณล่ะ ทุกวันนี้ทําอะไรอยู่” เขาย้อนถามบ้าง
“ฉันมีธุรกิจของตัวเองอยู่ในฮิวสตันค่ะ”
คิ้วสีน้ำตาลแกมทองเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม
“ธุรกิจอะไรหรือ” เขาวางศอกลงบนโต๊ะวางคางลงบนมือที่กําประสานกันไว้ เธอสังเกตเห็นอยู่ว่า หลังมือและข้อนิ้วรายอยู่ด้วยไรขนสีบลอนด์ นิ้วของเขาค่อนข้างเรียวไม่อ้วนป้อมเหมือนของบาร์ท เล็บได้รับการดูแลรักษาอย่างดี เอรินสังเกตเห็นไปหมดในทุกสิ่งทุกอย่าง
เธอเงยขึ้นประสานสายตากับเขา กับแผงขนตาสีเข้มนั้นเธอแทบจะมองไม่เห็นความเข้มของดวงตาคู่สีน้ำเงินเข้ม ความคมสันของเขาทําให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก มันราวกับว่าความคมสันเป็นตัวเข้ามากางกั้นไม่ให้เธอทําความรู้จักสนิทสนมกับเขามากขึ้น ด้วยเหตุผลอันลึกลับบางประการมันคล้ายกับว่าความสนิทสนมที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าออกจะเป็นอันตรายอยู่
“ธุรกิจของฉันเกี่ยวกับเอ้อ...แฟชั่นโชว์ค่ะ” เธอตอบออกไป
“ผมไม่เคยได้ยินอาชีพอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย” คําพูดของเขาทําให้เธออดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ก็นั่นแหละค่ะที่ทําให้เราไม่เหมือนใคร” เธอตบหลังมือเขาอย่างหยอกล้อ
และกับความว่องไวอย่างที่เขาแสดงให้เธอเห็นมาแล้วในตอนแรก เขาคว้ามือเธอไปจับไว้แน่น ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอยู่นิ่งและนาน ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“เมื่อกี้คุณบอกว่าอยากรู้จักผมให้ดีขึ้น ผมเองก็อยากรู้จักคุณอยู่เหมือนกัน ผมคิดว่าเราควรจะทําความคุ้นเคยกันไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย หรือคุณจะว่ายังไงล่ะ”