บทที่ 2
“ฉันชื่อเอริน โอ’ เชีย ค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นในลักษณะแนะนําตัว
“มิสโอ’ เชีย” เขาเอ่ยชื่อเธอออกมาด้วยน้ำเสียงที่สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นในใจเช่นเดิม ดวงตาคู่สีฟ้ามิได้ละจากใบหน้าของเธอเลย ซึ่งทําให้เอรินต้องเลียริมฝีปากอย่างใจคอไม่ดี
“ฉันขอนั่งก่อนได้ไหมคะ”
เขาผายมือไปยังห้องที่อยู่ทางด้านซ้ายของห้องโถงทางเดินและเอรินก็เดินเข้าไปในนั้น มันเป็นห้องที่ได้รับการตกแต่งไว้อย่างสูงด้วยรสนิยม แม้ว่าเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นจะราคาไม่แพงก็ตาม กระนั้นเธอก็ยังอดคิดอยู่ในใจไม่ได้ ว่าลักษณะการแต่งห้องดูไม่ใคร่เข้ากับบุคลิกลักษณะของพี่ชายเท่าไรนัก เธอคาดว่าเขาน่าจะต้องการให้มีการตกแต่งภายในที่ดูขึงขังกว่านี้ เข้ากับท่าทางที่แข็งกร้าวของเขา
นี่เธอกําลังทําอะไรอยู่...เอรินถามตัวเองอย่างขัดเคือง เธอเพิ่งจะเห็นหน้าพี่ชายเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ และเธอก็เริ่มคิดวิจารณ์ในตัวเขาเสียแล้ว
แต่กระนั้น มันก็ยังเป็นความจริงอยู่นั่นเอง แม้ขณะหย่อนตัวลงนั่งในโซฟาเธอก็ยังรู้สึกว่า การตกแต่งภายในของบ้านหลังนี้ไม่เข้ากับบุคลิกของพี่ชายอยู่ดี
“เมลานี่อยู่ไหมคะนี่” เธอเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“ไม่อยู่ มีธุระต้องออกไปข้างนอก” เขาตอบช้า ๆ ท่าทางเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
เอรินยิ้มน้อย ๆ รู้สึกคลายใจลงอย่างมาก อย่างน้อยเธอก็จะได้มีเวลาอยู่เพียงลําพังกับเขา เพราะถ้าเธอจะต้องเปิดเผยตัวเองในขณะที่มีผู้อื่นรับฟังอยู่ด้วยแล้ว อาจจะสร้างความอึดอัดให้เกิดขึ้นด้วยกันทุกฝ่าย
“เอ้อ...ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้เดี๋ยวนี้เอง...คือเห็นจะต้องบอกตามตรงนะคะ ว่าอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่พบคุณอยู่บ้านในวันทํางาน นึกว่าคุณจะอยู่ที่ธนาคารเสียอีก” เธอรู้ว่าพี่ชายเป็นผู้จัดการธนาคาร
สายตาที่จรดจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลาเลื่อนไปมองกระเป๋าถือสีน้ำตาลที่เธอวางไว้ข้างตัวบนโซฟา เขามีวิธีการที่จะบอกให้ผู้อื่นรู้เสมอ ว่าจะไม่ยอมให้สิ่งใดพลาดไปจากสายตาของเขาได้
“วันนี้ผมกลับบ้านเร็ว” เขาตอบเพียงเท่านั้น
“เคนเนธ...เอ้อ...ขออนุญาตให้ฉันเรียกคุณว่าเคนเนธนะคะ” เมื่อเขาพยักหน้ารับเธอก็กล่าวต่อ เพราะถึงอย่างไรเวลาก็มาถึงแล้ว
“เคนเนธคะ สิ่งที่ฉันกําลังจะเล่าให้คุณฟังต่อไปนี้ อาจจะสร้างความแปลกใจให้เกิดขึ้นกับคุณอย่างมากก็ได้” เธอหัวเราะเสียงแปร่งปร่า “บางที่ถ้าใช้คําว่า ‘ช็อค’ มันอาจจะถูกต้องกว่า” เธอก้มลงมองดูมือของตัวเองที่ประสานกันแน่นอยู่บนตัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขา
“คุณเคยรู้บ้างหรือเปล่าคะว่าเราต่างเป็นลูกบุญธรรมของใครบางคน”
อีกครั้งหนึ่งที่ดวงตาคู่นั้นหรี่ลง ขณะอ่านความรู้สึกในสีหน้าของเธออย่างพิจารณา ตอนที่เขาพยักหน้ารับนั้น มันบางเบาจนแทบมองไม่เห็น ซึ่งทําให้เธอสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกกําลังใจให้มั่นคงไว้
“ฉันเฝ้าติดตามหาคุณมาหลายปีแล้วนะคะ เคนเนธ ฉันเป็นน้องสาวของคุณเอง”
สีหน้าของเขามิได้บอกความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น มันสร้างความรู้สึกตึงเครียดให้เกิดขึ้นกับเอรินอย่างเหลือจะกล่าว เพราะเธอเฝ้ารอคอยที่จะเห็นปฏิกิริยาอะไรสักอย่างจากเขาบ้าง เอรินหวังที่จะเห็นเขาวิ่งผวาเข้ามาโอบกอดเธอไว้ ร้องให้...หัวเราะ...กล่าวคําสบถ...และ...แต่เขากลับนั่งมองเธอด้วยแววตาเฉยเมย สีหน้าราวสวมหน้ากากไว้ก็ไม่ปาน
ในที่สุดเขาก็ยกมือขึ้นถอดแว่นตาออกควงเล่นอยู่ในมือ
“คุณว่าคุณเป็นน้องสาวผมยังงั้นหรือ”
“ค่ะ” เธอรับคําด้วยน้ำเสียงหนักแน่นผงกศีรษะรับอย่างกระตือรือร้น เรือนผมที่ตัดสันเป็นทรงบ๊อบไหวสะท้าน “ฉันรู้ค่ะว่ามันออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่มันเป็นความจริงอย่างที่สุด อนุญาตให้ฉันเล่าให้ฟังไหมคะว่า ฉันรู้อะไรมาบ้าง”
“เชิญ” ท่าทางของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความตื่นเต้นกับการเปิดเผยตัวเองของเธอเอาเสียเลย แต่อย่างน้อยเขาก็เริ่มสนองตอบเธอบ้างแล้ว และเหนือสิ่งอื่นใด เอรินอยากจะให้เขาคลายความระแวงสงสัยในตัวเธอ
“เราทั้งสองคนเคยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกําพร้า คาธอลิคในลอสแองเจลิส แล้วก็ถูกขอไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมจากที่นั่น คุณเคยรู้เรื่องนี้หรือเปล่าคะ”
“ก็คิดว่าพอจะรู้อยู่” เขาตอบแบ่งรับแบ่งสู้
“คุณโตกว่าฉันสามปี แม่ของเรายอมยกฉันให้เป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่ฉันอายุไม่กี่เดือน สามีภรรยาที่รับฉันไปเลี้ยงชื่อโอ’ เชีย หลังจากที่เขาได้ฉันไปเป็นลูกไม่นานเขาก็ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่ฮิวสตัน เท็กซัส ฉันก็เติบโตขึ้นที่นั่น...”
“จนกระทั่งเข้าไฮสกูลแล้วนั่นแหละที่ฉันเริ่มรู้สึกรบกวนจิตใจเหลือเกิน อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน อันที่จริงมันก็เป็นความรู้สึกที่เกิดกับเด็กหนุ่มสาวในวัยรุ่นทุกคน แต่ในเมื่อฉันรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นลูกที่ถูกขอมาเลี้ยง มันยิ่งเป็นนความจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องรู้กำเนิดของตัวเองให้ได้ ซึ่งฉันคิดว่าตุณเองก็ต้องเข้าใจความรู้สึกอย่างนี้แน่”
“ใช่” เขาทอดร่างอยู่ในเก้าอี้โซฟาในท่าที่ยกมือขึ้นกอดอก มันอาจจะดูเป็นท่าที่ปล่อยตัวตามสบายก็จริง แต่เอรินสัมผัสความรู้สึกอยู่ว่า มันเป็นเพียงท่าที่เขาแสดงออกเพื่อตบตาเธอเท่านั้น เพราะแม้ไม่ต้องใช้ความสังเกตก็พอจะรู้อยู่ว่ามันมีความตึงเครียดเกิดอยู่ในจิตใจของเขาอย่างมาก
“แต่ฉันก็ยังต้องรอเวลาอยู่อีกตั้งหลายปี กว่าที่จะพร้อมทั้งเงินและเวลารวมทั้งเรื่องอื่น ๆ เพื่อสืบเสาะค้นหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน คุณคงรู้นะคะว่าเวลานี้มีองค์การต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือพวกเด็กที่ถูกขอมาเลี้ยงสืบหาพ่อแม่หรือไม่ก็ญาติที่เป็นเชื้อสายเดียวกัน เชื่อฉันเถอะค่ะ ว่าเวลานี้ฉันรู้จักหมดทุกแห่ง แต่มันไม่ได้ผลเลย จนเมื่อสี่ปีก่อน...”
เธอจําเป็นต้องชะงักคําพูดลง เมื่อมีเสียงกริ่งดังขึ้นจากเครื่องโทรศัพท์สีแดง และด้วยความรวดเร็วปานงูฉก ที่เขาพุ่งตัวขึ้นจากเก้าอี้คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากลางกริ่งเรียกครั้งที่สอง กรอกเสียงห้วนห้าวลงไปว่า
“ครับ...” เขารับฟังเงียบ ๆ อยู่เป็นครู่ สายตามิได้คลาดคลาจากใบหน้าที่บอกความแปลกใจของเอรินเลย “ใช่...ไม่มีหรอก ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วผมจะติดต่อกลับไป” เขาวางโทรศัพท์ลงบนเครื่อง เมื่อเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งในที่เดิมแล้วจึงได้บอกกับเธอว่า “เล่าต่อสิ”
เอรินไม่ใคร่พอใจกับท่าทางที่เขาแสดงออกต่อเธอในขณะนี้เท่าไรนัก อย่างน้อยคนที่จะเดินไปรับโทรศัพท์ขณะกําลังสนทนากันอยู่กลางคันก็ควรจะกล่าวคําว่า...ขอตัวเดี๋ยวนะครับ...หรืออะไรทํานองนั้น แล้วทําไมเขาจะต้องคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรีบเร่ง ทำไมเขาต้องใช้คำพูดห้วนๆ สั้นๆ แบบนั้นแทนที่จะตอบรับอย่างสุภาพอ่อนโยน...หรือว่าเขากําลังรอคอยโทรศัพท์สายสําคัญอยู่...
“เอ้อ...ฉัน...” เธออึกอัก นึกไม่ออกว่าเมื่อครู่พูดไปถึงไหนแล้ว และท่าทางระแวงสงสัยของเขาก็กลับคืนมาอีกเมื่อเห็นเธอแสดงท่าทางออกมาอย่างนั้น
“เมื่อกี้คุณพูดค้างไว้ตรงที่ว่า...จนกระทั่งเมื่อสี่ปีก่อน”
“อ๋อ...ใช่ค่ะ” เธอตอบอย่างใจคอไม่สู้ดี “จนเมื่อสี่ปีก่อน ฉันจึงพอรู้อะไรเกี่ยวกับพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองบ้าง คือแม่บุญธรรมของฉันน่ะค่ะ ท่านเข้าใจถึงความรู้สึกของฉันอย่างดี รู้ว่าฉันอยากจะรู้เรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงมากเพียงไร ก็เลยให้ชื่อสถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าในลอสแองเจลิสมา...”
“แต่พอฉันไปถึงที่นั่น หัวใจก็แทบจะวายเลยละค่ะ เพราะมันถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว ไม่มีหลักฐานอะไรหลงเหลือไว้ให้เห็นอีกเลย มันทําให้การสืบหาของฉันต้องชะงักไปอีกตั้งหลายเดือน...”
“ในที่สุด ฉันก็ได้พบแม่ชีคนหนึ่งซึ่งเคยทํางานในสถานเลี้ยงเด็กกําพร้านั้นมาก่อน โดยเฉพาะตอนช่วงที่ทางสถานเลี้ยงเด็กแห่งนั้นรับเราสองคนเข้าไว้พอดี และตอนนั้นละค่ะที่ทําให้ฉันมีความรู้เกี่ยวกับคุณเป็นครั้งแรก”
แม้เอรินจะพยายามควบคุมตัวเองไว้อย่างดียิ่ง แต่กระนั้นน้ำเสียงก็อดสั่นเครือไม่ได้ ขอบตาร้อนผ่าวด้วยหยาดน้ำตาที่พยายามบังคับไว้ไม่ให้ลามไหลลง
“คุณเข้าใจถึงความรู้สึกของฉันในวันนั้นไหมคะว่า มันมีความปลาบปลื้มดีใจมากเพียงไร คิดดูสิคะ...ฉันก็มีพี่ชายกับเขาด้วย...ยังมีใครอีกคนหนึ่งที่จะแบ่งปันความสุขให้แก่กันได้...”
“นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าฉันจะเดินไปทางไหน ฉันก็คอยแต่จะสอดส่ายสายตามองหาใครสักคนที่น่าจะเป็นคุณ ทุกครั้งที่ฉันพบผู้ชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ ฉันก็จะจ้องมองเขาอยู่นั่นแล้ว สงสัยว่าเขาจะใช่คุณหรือเปล่า...”
“เอาละค่ะ...ฉันเห็นจะไม่เล่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการสืบเสาะของฉันหรอกนะคะ แต่ฉันพอจะรู้อยู่ว่า ครอบครัวที่รับคุณไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเป็นใคร ชื่ออะไร ซึ่งการตามหาก็ไม่ได้ยากลําบากอะไรเลย เพราะทั้งสองคนสามีภรรยานั้นเคยอยู่ในลอสแองเจลิส ฉันขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของพวกเขาด้วยนะคะ ดูเหมือนเขาจะถูกฆ่าตายเมื่อหลายปีมาแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่”
“ฉันเองก็สูญเสียแด้ด...มิสเตอร์โอ’ เชียน่ะค่ะ ตอนที่ยังเรียนอยู่ในคอลเลจ ฉันหวังว่าคุณจะมีความสุขแล้วก็โชคดีเหมือนฉันตอนที่อยู่กับครอบครัวนั้นนะคะ สามีภรรยาโอ’ เชียน่ะรักฉันมาก รักเหมือนลูกแท้ ๆ ของเขาเลย และฉันก็รักเขามากด้วย”
“ครับ...พ่อแม่ผม...หรือสามีภรรยาไลแมนนั่นน่ะ เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมมาก”
“โอ...ฉันดีใจด้วยจริงๆ ค่ะ” สีหน้าของเอรินฉาบอยู่ด้วยรอยยิ้ม “มีองค์กรหนึ่งที่ฉันเล่าถึงเมื่อครู่ได้ให้ความช่วยเหลือฉันในการติดตามหาตัวคุณ ฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณหลายอย่างก็จริง แต่ถึงยังไงมันก็ยังไม่มากเท่าที่ฉันอยากจะรู้หรอกค่ะ ฉันหมายถึงว่า ฉันอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ รู้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของคุณทุกอย่าง”