บทที่ 23 ห่อยาเป็นสาเหตุ - 2
แม้ปากจะบ่นออกมาอย่างนั้นแต่เท้าเล็กๆ นั่นก็เดินโดยไม่หยุดพักมาจนถึงเป้าหมาย ซ่งชิงเยียนเก้าขาเข้าไปในโรงยาหลวงตามที่ป้ายด้านหน้าเขียนบอก ตัวอักษรไม่เล็กสีน้ำตาลเข้มเขียนไว้อย่างนั้นชัดเจน
และที่เห็นจะชัดเจนยิ่งกว่านั่นก็คือร่างของเด็กสาวที่เล็กบางพอๆ กับนางกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าเรือนหลักของโรงยาหลวงแห่งนี้
“ตี้ฉาง!” จ้าวเมิ่งเหยียนร้องเรียกคนที่นั่งอยู่ที่พื้น ความเย็นของอากาศในยามนี้ไม่อาจดูเบา ขนาดรองเท้าที่สวมอยู่มีพื้นรองเท้าค่อนข้างหนายังแทบจะกันความเย็นของพื้นเอาไว้ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตอนนี้
“องค์หญิง!” ตี้ฉางตกใจไม่น้อยที่เห็นเจ้านายของตนเองมาที่นี่ “องค์หญิงทรงมาที่นี่ได้อย่างไรเพคะ อากาศหนาวนัก รีบเสด็จกลับไปเถอะเพคะ หม่อมฉันรอยาอยู่ ท่านหมอถูกำลังให้คนไปจัดมาให้อีกไม่นานก็จะได้ยามาแล้วเพคะ”
“อีกไม่นานของเจ้ามันเท่าไหร่กัน มิใช่ว่าเจ้ามาเอายาที่โรงยาหลวงเกือบหนึ่งชั่วยามแล้วหรอกหรือ?”
“...”
“แล้วนี่อะไร? ไยเจ้าจึงต้องคุกเข่าอยู่อย่างนี้” จ้าวเมิ่งเหยียนเอ่ยถามก่อนจะพยุงร่างของตี้ฉางให้ลุกขึ้น ทว่าด้วยความที่ตี้ฉางนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นนานนับชั่วยามแล้วขาทั้งสองข้างของนางเหน็บชาเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ อีกทั้งร่างกายยังเย็นเหยียบ
ดูท่าว่าคนที่จะล้มป่วยไปจริงๆ น่าจะเป็นตี้ฉางแล้ว
“เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด ส่วนยานั่นข้าจะไปเอาเอง” จ้าวเมิ่งเหยียนว่าแล้วก็ฉวยเอาเทียบยาในมือของตี้ฉางไป นางเองก็อยากจะรู้เช่นเดียวกันว่าคนเหล่านี้จะรังแกกันได้มากแค่ไหน แม้แต่สายเลือดมังกรครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของซ่งชิงเยียนพวกเขาก็ไม่คิดจะเกรงใจกันบ้างเลยหรือ?
“เด็กน้อย เจ้าเข้ามาในนี้ทำไม?” ผู้ช่วยหมอหลวงผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กของจ้าวเมิ่งเหยียน
“ข้ามาเบิกยาตามใบสั่งยานี้...เจ้าค่ะ รบกวนท่านช่วยจัดยาให้ข้าที” จ้าวเมิ่งเหยียนยื่นใบสั่งยานั้นให้ผู้ช่วยหมอหลวงตรงหน้า
“เจ้ามาจากตำหนักใด” คนผู้นั้นเอ่ยแล้วมองสำรวจเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า เครื่องแต่งกายของเด็กคนนี้ไม่เหมือนกับคนที่คุกเข่าอยู่ด้านนอก ด้วยเพราะชุดที่สวมใส่อยู่เหมือนจะมีความประณีตมากกว่าอยู่เล็กน้อย แต่ก็ดูทรุดโทรมซอมซ่อ ไม่เหมือนชุดที่บรรดาพระสนมหรือองค์หญิงสวมใส่ หากจะบอกว่าเป็นนางกำนัลขั้นสูงกว่าคนที่คุกเข่าอยู่ข้างหน้าก็เหมือนว่าจะพอเป็นไปได้อยู่
“ข้ามาจากตำหนักขององค์หญิงแปดเจ้าค่ะ”
“หึ! องค์หญิงแปดรึ?” ผู้ช่วยหมอหลวงแค่นเสียง “องค์หญิงผู้นี้ช่างขยันสร้างปัญหาเสียจริง” เขาว่าเพียงเท่านั้นแล้วก็เดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน! ท่าน แล้วยาของข้าเล่า?”
“เจ้าจะเอายาไปให้สิ้นเปลืองทำไม? ในเมื่ออีกไม่นานองค์หญิงของเจ้าก็จะหายดีแล้ว ขอเพียงฉีเฟยมอบเครื่องประดับให้สักชิ้น องค์หญิงแปดผู้นั้นก็จะหายป่วยไข้ไปเอง”
จ้าวเมิ่งเหยียนฟังแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง...นี่มันเรื่องราวบ้าบออะไรกัน? คนอะไรเจ็บป่วยแล้วจะหายดีได้จากการได้รับเครื่องประดับ?
เหลวไหล!
จ้าวเมิ่งเหยียนรับไม่ได้อย่างยิ่งกับความไร้จรรยาบรรณของหมอหลวงเหล่านี้ นางโกรธจนใบหน้าเรียวเล็กบิดเบี้ยว ทว่าครู่หนึ่งก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...มิใช่ว่าเมื่อครู่ผู้ช่วยหมอหลวงผู้นั้นเอ่ยถึงฉีเฟยหรอกหรือ?
ชาติก่อนซ่งชิงเยียนอาจจะเป็นคนซื่อจนดูเหมือนว่าจะโง่ ทว่าจ้าวเมิ่งเหยียนผู้นี้ไม่ใช่ นางเป็นหญิงสาวที่มาจากยุคปัจจุบัน ยุคที่ผู้หญิงมีสิทธิ์มีเสียงมากพอที่จะเรียกร้องความยุติธรรมและความถูกต้องให้ตัวเอง
ดูท่าว่าฉีเฟยผู้นี้จะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังอู๋กงกง ภาพจำของซ่งชิงเยียนและการปฏิบัติที่คนในวังมีต่อนางนั้นก็จะเป็นผลมาจากคนผู้นี้
ไม่รัก ไม่เมตตา ไม่เลี้ยงดูอย่างดีก็แล้วไปเถิด แต่เหตุใดต้องทำให้ชื่อเสียและภาพลักษณ์ของซ่งชิงเยียนมัวหมองและเป็นที่รังเกียจของผู้คนเช่นนี้ด้วยเล่า!
ความสัมพันธ์อันน่าซับซ้อนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งมีเงื่อนงำและความน่าสงสัย ความน่าแปลกใจและไม่สมเหตุสมผลอยู่เต็มไปหมด
“องค์หญิง!” ตี้ฉางร้องขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาผู้เป็นนายทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินออกมา “ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรพระองค์ใช่หรือไม่?”
จ้าวเมิ่งเหยียนหันหน้าไปมองคนข้างกาย “พวกเขาไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่เราไม่ได้ยามาก็เท่านั้น” จ้าวเมิ่งเหยียนเอ่ยเสียงอ่อน เดิมทีอาการป่วยของนางนั้นก็เป็นเรื่องโกหกอยู่แล้ว การจะได้ยามาหรือไม่นั้นนับว่าเป็นประเด็นรองลงมา เมื่อเทียบกับเรื่องที่ได้พบเจอมาเมื่อครู่นี้
“พวกเรากันเถอะ ต่อให้ยืนหนาวอยู่อย่างนี้พวกเขาก็ไม่จัดยาให้หรอก ว่าแต่ ตอนแรกเจ้าคุกเข่าทำไม? ผู้ใดเป็นคนสั่งให้เจ้าทำเช่นนั้น”
“เอ่อ...” ตี้ฉางอึกอัก ทว่านางไม่อาจทนสายตาคาดคั้นขององค์หญิงได้จึงเอ่ยบอกไป “เป็นอู๋กงกงเพคะ”
จ้าวเมิ่งเหยียนร้องอ๋อในใจ ที่แท้ขันทีผู้นั้นก็ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้นี่เอง
“กลับเถอะ ประเดี๋ยวคนที่ไม่สบายกว่าข้าจะเป็นเจ้า”
“แต่องค์หญิงเพคะ แล้วยา...”
“ก็แค่ยาแก้หวัดมิใช่หรือ? ช่างเถอะ ข้าไม่ได้วันนี้พรุ่งนี้หรอก” จ้าวเมิ่งเหยียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ถึงอย่างไรร่างนี้ก็ไม่ใช่ของนางอยู่แล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ช่างมันเถิด ดีเสียอีกที่นางจะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องชวนปวดหัวพวกนี้
ขอย้ำอีกครั้ง นางไม่ได้มีความอดทนสูงเช่นซ่งชิงเยียน!
“ไปกันเถอะ” จ้าวเมิ่งเหยียนว่าแล้วเดินนำ ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งร้องเรียกนางไว้
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงนั้นเคร่งขรึมและแฝงไปด้วยความจริงจัง จ้าวเมิ่งเหยียนหันหลังหลับไปมองก็พบว่าเป็นนางกำนัลอาวุโสผู้หนึ่ง
จ้าวเมิ่งเหยียนเห็นตี้ฉางยอบกายคารวะคนตรงหน้านางจึงได้ทำตามดูจากเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ก็พอจะรู้ได้ว่านี่คือนางกำนัลชั้นสูง ไม่แน่ว่านางอาจจะเป็นคนใกล้ชิดของผู้สูงศักดิ์คนใดคนหนึ่งในวังหลวง
“เอานี่ไป” ฝ่ายนั้นเอ่ยแล้วยื่นห่อยาให้ตี้ฉาง
“ขอบคุณเจ้าค่ะมามา” ตี้ฉางเอ่ยแล้วรับห่อยาไป เด็กสาวเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาออกมา
“ขอพระคุณมามาที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” จ้าวเมิ่งเหยียนเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายบ้าง ต่อให้ชาติก่อนนางไม่ใช่ดารานักแสดง ทว่าจริตมารยานั้นเป็นสิ่งที่สตรีทั้งหลายพึงมีติดตัวมิใช่หรือ?
มามาคนดังกล่าวพยักหนารับจากนั้นก็เป็นฝ่ายหันหลังจากไปก่อน จ้าวเมิ่งเยียนเห็นอย่างนั้นก็ชวนตี้ฉางกลับตำหนัก ไม่คิดเลยว่าระหว่างทางพวกนางจะพบเข้ากับอู๋กงกง
ขันทีผู้นั้นเอ่ยปากต่อว่าพวกนางไปสองสามคำก็หยุด จากนั้นจึงเรียกให้เดินกลับตำหนักหลังเล็ก โดยที่เขาไมรู้เลยว่ากิริยาของตนเองนั้นได้ถูกหงมามาพบเห็นเสียแล้ว