บทที่ 23 ห่อยาเป็นสาเหตุ - 1
บทที่ 23
ห่อยาเป็นสาเหตุ
นอกจากการไปตามหมอหลวงตี้ฉางใช้เวลานานเป็นชั่วยามแล้ว การไปเบิกยาที่โรงยาหลวงตี้ฉางก็ใช้เวลานานเช่นเดียวกัน ตอนนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำอีกไม่นานก็จะพ้นยามโหย่วไปแล้วแต่คนที่ไปเบิกยาก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา
“ถ้าออกไปตามตี้ฉางตอนนี้...ก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ได้สินะ”
แน่นอนว่าหากอยากมีตัวตนให้ใครสักคนเห็น นั่นย่อมหมายถึงการที่นางต้องเรียกร้องความสนใจให้มากขึ้น จ้าวเมิ่งเหยียนรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก บางทีการที่ซ่งชิงเยียนยอมรับชะตากรรมเช่นนี้ในชาติก่อนอาจจะเป็นเพราะนางต้องการรักษาชีวิตอันแสนสงบสุขของตัวเองไว้ นางรู้ดีว่าไม่มีใครในวังหลวงที่จะปกป้องนางได้ การมีชีวิตอยู่แต่เหมือนไร้ตัวตนของนางจึงเป็นวิธีการรักษาความปลอดภัยที่ซ่งชิงเยียนเลือกใช้
ทว่าไม่ใช่สำหรับจ้าวเมิ่งเหยียน
จริงอยู่ที่ตอนแรกนางไม่มีความต้องการที่จะแก้แค้นใครในโลกแห่งนี้ นางเองก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างสงบสุขเช่นกัน
ทว่า...หากนางปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เคยเป็นมาไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วชะตาชีวิตก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องจบลงแบบเดิม เรื่องราวเลวร้ายที่เคยเจอก็จะได้เจออีกครั้ง นางไม่ได้อดทนเก่งเท่าซ่งชิงเยียนหรอกนะ นางไม่มีทางรับได้แน่ๆ หากต้องกลายเป็นภรรยาของบุรุษอย่างกงไป๋อวี่ ไหนจะคนไม่เอาถ่านอย่างหลินจิ้งอวิ๋นอีก สุดท้ายก็โดนคนโฉดอย่างเล่อซานซุนเค่อเดรัจฉานในคราบมนุษย์ตัวนั้นข่มเหงรังแก
การมีชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทนเก็บมือเก็บเท้าไม่สู้คนเสียเมื่อไหร่
ในทางกลับกัน จ้าวเมิ่งเหยียนกลับคิดว่าคนที่จะสามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้อย่างแท้จริงในโลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมแห่งนี้นั้น ก็คือคนที่มีอำนาจมากพอที่จะปกป้องตัวเองต่างหาก
ซึ่งซ่งชิงเยียนชาติก่อนไม่มี นางจึงได้ถูกผู้คนบงการชีวิตและข่มเหงเช่นนั้น
ดูเอาเถิด...ขนาดว่าบ่าวรับใช้อย่างแม่นมของกงไป๋อวี่ยังลอบทำร้ายนางได้ ตี้ฉางยังทรยศนางได้ แล้วเช่นนี้นางจะมีชีวิตที่สงบสุขได้อย่างไรกัน?
จ้าวเมิ่งเหยียนคิดแล้วก็เดินดุ่มๆ ออกไปนอกตำหนักหลังเล็ก นางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้อี้จวี่กับอี๋หรงสองนางกำนัลที่เป็นคนของอู๋กงกงพบเห็น ไม่อย่างนั้นนางก็คงไปตามหาตี้ฉางที่โรงยาหลวงไม่สำเร็จ อู๋กงกงคงจะสั่งคนในตำหนักนี้ไว้ว่าไม่ยอมให้นางออกไปพบเจอคนอื่นๆ ด้านนอก เขาต้องการปล่อยให้ผู้คนทั้งวังหลวงลืมเลือนนางไป หลักๆ ก็เพื่อไม่ให้ความเลวร้ายของฉีเฟยผู้เป็นนายปรากฎออกมาให้เห็น
ในเมื่อคิดจะสร้างความผิดให้สองนางกำนัลผู้นั้น เหตุใดนางต้องให้สองคนนั้นพบตัวนางด้วยเล่า?
นับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยที่ชาติก่อนคุณพ่อของจ้าวเมิ่งเหยียนได้ให้ลูกสาวคนเดียวของตัวเองร่ำเรียนวิชาพิเศษในช่วงปิดเทอมซึ่งรายวิชานั้นก็คือทักษะการต่อสู้และการเอาตัวรอด
ชีวิตในวัยสิบกว่าปีของจ้าวเมิ่งเหยียนในชาติก่อนนั้นหมดเวลาไปกับการเรียนยูโดและฝึกหลักสูตรทหารเบื้องต้นถึงสองปีเต็มๆ แน่นอนว่าเธอไม่ได้เอาดีทางด้านกีฬาหรือทหารผู้เป็นพ่อต้องการให้เธอเรียนเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเองจากกลุ่มพวกไม่หวังดีตามประสาคุณพ่อที่หวงลูกสาวเท่านั้น
แต่จ้าวเมิ่งเหยียนก็คิดไม่ถึงเลยว่าวิชาพิเศษที่เรียนเหล่านั้นนางจะได้นำมาใช้ในชีวิตจริง แต่เป็นคนละชาติภพคนละยุคสมัยเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เมื่อตอนที่เดินออกมาจากตำหนักหลังเล็กได้ไกลพอควรแล้วจึงไม่มีใครเห็นนางเลยสักคน
แต่ปัญหามันดันติดอยู่ตรงที่ว่านางจะหาทางไปโรงยาหลวงอย่างไรต่างหาก!
จ้าวเมิ่งเหยียนในร่างของเด็กสาววัยสิบสี่ยืนนึกถึงหนังสือที่เคยได้อ่านผ่านหูผ่านตามาในช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ย่างเท้าออกไปที่ไหน แต่หญิงสาวก็ใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการอ่านหนังสือที่พอจะวางอยู่ในห้องเล็กข้างห้องนอนภายในตำหนักหลังเก่าที่นางอาศัยอยู่นั่น
หนึ่งในบรรดาหนังสือเหล่านั้นก็มีแผนที่ตำหนักต่างๆ ของวังหลวงอย่างคร่าวๆ รวมอยู่ด้วยซึ่งแผนที่เหล่านั้นก็ไม่ได้เป้นแผนที่ทางการทหารหรืออะไรทำนองนั้นแต่อย่างใด เป็นเพียงแผนที่ธรรมดาที่บ่งบอกให้ทราบแต่เพียงว่าตำหนักใดอยู่ตรงไหนของวังหลวง โรงครัวหลวงตั้งอยู่ทิศใด อะไรเทือกนี้เท่านั้น
“ทางนี้” เมื่อนึกเส้นทางที่ระบุไว้ในแผนที่ออกจ้าวเมิ่งเหยียนก็ก้าวเท้าเดินต่อไป อากาศที่ยังหนาวเย็นทำเอาร่างเล็กบางสั่นเทาเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม นางเพิ่งจะรู้ถึงความจริงอีกอย่างคือก็ที่แท้แล้วตำหนักหลังเล็กของนางก็ห่างไกลจากตำหนักอื่นๆ และส่วนอื่นของวังหลวงถึงเพียงนี้
“รังแกกันเกินไปจริงๆ ซ่งชิงเยียนนะซ่งชิงเยียน ฉันล่ะก็อย่างรู้จริงๆ ว่าเธอทนอยู่กับชีวิตแบบนี้มาได้ยังไงกัน”