บทที่ 22 องค์หญิงแปด - 2
“อืม” จ้าวเมิ่งเหยียนพยักหน้ารับเบาๆ
ภายหลังที่ตี้ฉางจากไปนางก็กลับมาหลังจากเวลาผ่านครู่ใหญ่ ร่วมหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ที่ตี้ฉางใช้เวลาไปตามหมอ จ้าวเมิ่งเหยียนอดคิดไม่ได้ว่าหากนางอาการสาหัสขึ้นมาจริงๆ คงได้ตายก่อนที่หมอหลวงจะมาถึงเป็นแน่
“ท่านหมอเชิญทางนี้เจ้าค่ะ ได้โปรดตรวจร่างกายขององค์หญิงของข้าน้อยด้วยเถอะเจ้าค่ะ” เสียงอ้อนวอนนั้นไม่ดังไม่เบาแต่ก็มากพอที่จะเล็ดลอดเข้าหู จ้าวเมิ่งเหยียนรู้ว่าองค์หญิงแปดมีชะตากรรมอาภัพ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากมายถึงขนาดที่ว่าแม้แต่หมอหลวงเองก็ไม่อยากที่จะมาตรวจดูอาการเจ็บป่วยของนาง
“องค์หญิงทรงมีไอเย็นในร่างกายมากเกินไป จากนี้ต้องดูแลพระวรกายให้ดีอย่างได้ต้องไอเย็นอีกพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยบอกหลังจากตรวจดูชีพจรเพียงครู่หนึ่ง การตรวจที่คล้ายไม่ตรวจนี้ทำเอาจ้าวเมิ่งเหยียนค่อนขอดหมอหลวงผู้นี้ในใจ เป็นหมอประสาอะไรไม่รู้จักห่วงใยคนไข้เอาเสียเลย ไม่มีจิตใจเมตตาเช่นนี้ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมออีกหรือ?
ถ้าหากนางไม่ไปยืนเอาแขนแช่ไว้ในหิมะที่กองพะเนินสูงอยู่นอกหน้าต่างบานนั้นเขายังจะรู้หรือว่านางต้องไอเย็นมากเกินไป
“แล้วองค์หญิงจะเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะท่านหมอหลวง” ตี้ฉางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงนายเหนือหัว
“ก็บอกไปแล้วเมื่อครู่ว่าไม่เป็นอะไรหากไม่ต้องไอเย็นอีก เจ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูดหรืออย่างไร!” หมอหลวงผู้นั้นถึงกับขึ้นเสียงใส่ตี้ฉาง ทั้งๆ ที่ร่างเล็กบางที่นอนอยู่บนเตียงนั้นคือเด็กสาวผู้มีฐานะเป็นถึงองค์แท้ๆ
“ข้าเขียนเทียบยาให้แล้ว เจ้าไปเบิกเอาจากโรงยาหลวงแล้วนำมาต้มถวายองค์หญิงซะ” พูดจบหมอหลวงก็สะบัดกายจากไป ไม่แม้แต่จะถวายความเคารพนางผู้เป็นถึงองค์หญิงด้วยซ้ำ
ตี้ฉางยืนก้มหน้า เพื่อตามหมอหลวงมาตรวจอาการขององค์หญิงนางถึงกับต้องอ้อนวอนหมอหลวงผู้นั้นอยู่นาน หนำซ้ำยังถูกเขาต่อว่ามาตลอดทางเมื่อครู่นี้ยังถูกตะคอกเสียงใส่อีก...ชั่งโชคร้ายจริงๆ
“ตี้ฉาง” จ้าวเมิ่งเหยียนเอ่ยเรียกก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นจากเตียง “อย่างเพิ่งไป มานี่ก่อน เรามีเรื่องจะถามเจ้า”
“...”
มาถึงตอนนี้จ้าวเมิ่งเหยียนก็พอจะเดาสถานะของซ่งชิงเยียนในวังหลังแห่งนี้ชัดเจนขึ้นอีกขั้นแล้ว องค์หญิงแปดผู้นี้มิใช่เพียงถูกละเลยจากพระบิดาหรือจากพระสนมผู้นั้นเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าคนทั้งหวังหลวงเองก็เหมือนจะมองไม่เห็นหัวนางเช่นกัน ขนาดหมอหลวงเมื่อครู่ยังทำกิริยาเช่นนั้นได้ ดูท่าแล้วซ่งชิงเยียนจะมีชีวิตยากลำบากกว่าที่นางคิดเอาไว้มากจริงๆ
“องค์หญิงมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเพคะ” ตี้ฉางเอ่ยถาม น้ำเสียงดูพยายามอดกลั้นน้ำตาเอาไว้เต็มที่
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
ตี้ฉางแปลกใจในคำถามองค์หญิงไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรทำเพียงก้มหน้าตอบคำถามเท่านั้น “สิบสองปีเพคะองค์หญิง”
จ้าวเมิ่งเหยียนพยักหน้ารับ ปีนี้ตี้แงเพิ่งจะอายุครบสิบสองเท่านั้น เท่าที่ดูแล้วก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะจงรักภักดีต่อซ่งชิงเยียนไม่น้อย ด้านนอกหนาวออกอย่างนั้นนางกลับยอมเดินฝ่าลมหนาวไปตามหมอหลวงมาดูอาการป่วยปลอมๆ ของนางอีก
ใช่ เมื่อครู่นี้เป็นนางที่แกล้งป่วยเอง ไม่ได้มีอาการปวดหัวอะไรแต่อย่างใด นางเพียงแค่ต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น
หรือว่าตี้ฉางในยามนี้ไม่ได้มีใจทรยศซ่งชิงเยียนตั้งแต่ต้น?
เป็นไปได้ ไม่แน่ว่าในตอนนั้นกงไป๋อวี่อาจจะเล่นลูกไม้อะไรบางอย่างเพื่อบังคับหรือไม่ก็ล่อลวงให้ตี้ฉางกลายไปเป็นพวกเดียวกับตนก็เป็นได้
นั่นย่อมหมายความว่าตี้ฉางในตอนสิบสองหนาวนี้ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรกับซ่งชิงเยียน
แต่อนาคตไม่มีเรื่องแน่นอน ตอนนี้นางตัดสินใจจะเก็บตี้ฉางไว้ ถึงอย่างไรอู๋กงกงก็เป็นคนที่น่าจัดการให้ไปให้พ้นตามากกว่า เก็บตี้ฉางเอาไว้ข้างกายก่อนก็ย่อมได้
“แล้วเมื่อครู่เจ้าโดนอะไรมาก มิใช่ว่าถูกพวกเขาดุด่ามาหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยืนอดทนกลั้นน้ำตาอยู่อย่างนี้”
“องค์หญิง!” ตี้ฉางเอ่ยขึ้นมาด้วยความตกใจ เด็กสาวไม่รู้เลยว่านางจะเก็บอาการไม่มิดจนผู้เป็นนายมองออกได้ง่ายดายแบบนี้
“เล่ามาให้เราฟังเถอะ ถึงเราไม่มีอำนาจมากพอจะทวงความเป็นธรรมให้เจ้า แต่อย่างน้อยๆ เราก็รับฟังเจ้าได้ อย่าลืมสิ ต่อให้ไร้ค่าอย่างไรเลือดในกายของเราครึ่งหนึ่งก็มีเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ ไม่ว่าจะกี่มากน้อยก็ต้องมีความสำคัญอยู่บ้าง”
“...” ตี้ฉางเม้มปาก ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากเล่าทุกอย่างออกไป
“ตอนแรกหม่อมฉันไปบอกพี่อี้จวี่กับพี่อี๋หรงก่อนเพคะว่าองค์หญิงรู้สึกไม่สบาย แต่พวกนางที่นอนอยู่ในห้องพักกลับไม่เอ่ยอะไรซ้ำยังนอนต่ออย่างไม่รับรู้ หม่อมฉันก็เลยไปตามหมอหลวงเอง พอไปถึงหมอหลวงก็ถามว่ามาทำไม ครั้นบอกออกไปก็ไม่มีหมอหลวงคนไหนอยากมาตรวจ พวกเขามีกันอยู่มากมายหลายสิบ แต่กลับบอกว่าไม่มีใครว่างสักคน บางคนยังนั่งดื่มชาอยู่ด้วยซ้ำ”
“จริงหรือ?” จ้าวเมิ่งเหยียนถามซ้ำ ยิ่งได้ฟังตี้ฉางยืนยันก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ ซ่งชิงเยียนน่าสงสารมากจริงๆ
“เพคะ มีเพียงหมอหลวงถูเท่านั้นที่ยอมมา แต่ก็อย่างที่องค์หญิงทรงเห็นเพคะ”
“เราดูออกว่าเขาไม่เต็มใจมา” แต่ก็น่าแปลกมากที่คนเป็นหมอกลับมีจิตใจคับแคบแบบนี้ เห็นทีว่าจรรยาบรรณในอาชีพนั้นในยุคนี้ยังมีไม่มากพอ หมอหลวงถูถึงได้แสดงกิริยาเช่นนั้นออกมา ต่อให้เขารู้ว่านางแกล้งป่วย แต่อย่างน้อยๆ นางก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่ง การรักษามารยาทต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ก็ไม่มีความจำเป็นแล้วเช่นนั้นหรือ?
“องค์หญิงอย่าทรงคิดมากเลยเพคะ ถึงอย่างไรท่านหมอถูก็ให้ใบสั่งยามาแล้ว หม่อมฉันจะไปเบิกยาจากโรงยาหลวงมาต้มถวายนะเพคะ อาการประชวรจะได้ทรงหายดีในเร็ววัน ทูลลาเพคะ”
ตี้ฉางถวายความเคารพแล้วก็หมุนกายเดินจากไป จ้าวเมิ่งเหยียนมองตามแผ่นหลังเล็กๆ นั่นไปจนลับตา ความคิดหนึ่งผุดพรายขึ้นมาว่า...หรือบางทีนอกจากพยายามจะเปลี่ยนชะตากรรมของซ่งชิงเยียนแล้ว นางอาจยังต้องพยายามทำให้ตี้ฉางมีชะตากรรมที่ดีขึ้นกว่านี้ด้วย
เพราะบางครั้ง...การที่ลูกน้องทรยศอาจจะเป็นเพราะเจ้านายเลี้ยงไม่ดีก็เป็นได้