บทที่ 22 องค์หญิงแปด - 1
บทที่ 22
องค์หญิงแปด
หากจะนับวันเวลาตั้งแต่แรกเริ่มที่จ้าวเมิ่งเหยียนทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของซ่งชิงเยียนที่ยามนี้มีอายุสิบสี่หนาวนั้น วันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะครบสิบวันพอดีที่หญิงสาวยุคปัจจุบันเช่นเธอต้องกลายมาเป็นองค์หญิงแปดผู้ไร้ค่าเช่นนี้
สิบวันที่ผ่านมานอกจากตี้ฉางและนางกำนัลอีกสองคนแล้ว จ้าวเมิ่งเหยียนก็ไม่เคยพบเจอผู้ใดอีกเลย ยามนี้เป็นฤดูหนาวอีกทั้งช่วงเวลาที่ผ่านมาหิมะก็ตกเสียจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร ต้นไม้นอกหน้าต่างบานใหญ่นั่นที่หลายวันก่อนยังพอมองเห็นใบเวลานี้ก็ถูกคลุมทับไปด้วยหิมะสีขาวโพลนหมดแล้ว
ด้วยเหตุนี้ สิบวันที่ผ่านมานั้นจ้าวเมิ่งเหยียนร่างของซ่งชิงเยียนก็ไม่ได้ออกไปไหนไม่ได้พบใครเลย อันที่จริงหากนางจะออกไปเดินเล่นบ้างก็ย่อมได้ ทว่านางกำนัลสองคนที่ตัวโตกว่านางนั้นไม่ยอมให้นางได้ทำเช่นนั้น หนึ่งคืออ้างว่าอากาศเหน็บหนาวเกินไป หากออกไปแล้วนางต้องลมหนาวจนไม่สบายพวกนางทั้งสามคนอาจจะต้องโทษได้
คำกล่าวนั้นฟังขึ้นเพียงน้อยเท่านั้นในความคิดของจ้าวเมิ่งเหยียน พวกนางลืมไปแล้วหรือว่านางเป็นองค์หญิงแปดที่อยู่นอกสายของทุกคนในวัง ขนาดนางกำนัลเช่นพวกนางสองคนยังกล้าที่จะขัดความต้องการของนางได้ นับประสาอะไรกับการที่นางดื้อรั้นที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอก หากเจ็บป่วยขึ้นมาจริงๆ ก็คร้านแต่ว่าจะไม่ใครยอมตามหมอหลวงมารักษานางด้วยซ้ำ
เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกขังเลย
ในวันที่มีแสงแดด นางได้สัมผัสความร้อนของมันเพียงแค่ยามแสงแดดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น ยามแสงดวงจันทร์สาดส่องนางก็ได้มองมันจากกรอบหน้าต่างบานใหญ่ ทุกวันนี้หน้าต่างด้านข้างตำหนักแทบจะเป็นโลกทั้งใบของนางอยู่แล้ว
ไม่สิ นี่อาจจะเป็นโลกทั้งใบของซ่งชิงเยียนเมื่อกาลก่อน ตลอดเวลาที่อยู่ในวังนางอาจจะต้องทุกข์ทนกับชีวิตที่ไร้อิสระเช่นนี้มาโดยตลอด ถูกนางกำนัลกดขี่ข่มเหงยิ่งไปกว่านั้นทรัพย์สินหรือเบี้ยหวัดตามฐานะที่นางพึงมีพึ่งได้ก็อาจจะถูกยักยอกไปหมด
หากเป็นนี้ การที่ซ่งชิงเยียนมีความยินดีอยู่ลึกๆ เมื่อรู้ว่าตนเองจะต้องแต่งออกไปไกลถึงเขตเหนือของแคว้นที่หนาวเย็น นางรู้ว่าในอนาคตตนเองจะลำบาก แต่อย่างน้อยการได้ออกจากวังหลวงแห่งนี้นั้นก็นับเป็นเรื่องดี
ทว่านั่นก็เป็นเรื่องของซ่งชิงเยียนในกาลก่อน เวลานี้วิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่องค์แปดผู้นั้นอีกต่อไป ซ่งชิงเยียนไม่รู้อนาคตตัวเอง อีกทั้งยังอ่อนแอและขลาดเขลาเกินกว่าจะต่อกรกับผู้คนที่ล้วนแต่มีเขี้ยวเล็บยาวแหลมคมเหล่านั้นได้และสุดท้ายก็ต้องตายไปอย่างเจ็บปวด
จ้าวเมิ่งเหยียนไม่ปรารถนาให้ร่างนี้ต้องพบจุดจบเช่นนั้น ซ่งชิงเยียนไม่รู้อนาคตล่วงหน้าจึงต้องมีจุดจบที่น่าสงสารเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด แต่นางผู้ที่รับรู้เรื่องราวทุกอย่างจากปากของซ่งชิงเยียนตัวจริงมาทั้งหมดแล้วจะยังยอมให้ร่างนี้เผชิญกับชะตาชีวิตที่น่าหดหู่นั้นซ้ำเดิมอีกครั้งได้อย่างไร?
ต่อให้ตายอีกครั้งนางก็ต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของร่างนี้ให้ได้
และเรื่องที่สะเทือนหัวใจของลูกผู้หญิงด้วยกันที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องที่นางถูกบุรุษอื่นที่มิใช่เจ้าบ่าวบุกรุกเข้าไปในเรือนหอ เรื่องนี้ทำเอาน้ำตาของนางไหลออกมาจากเบ้าตาโดยไม่รู้ตัว ก้อนบางอย่างตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ในอก ลองเปรียบเทียบว่าหากเวลานั้นเป็นนางที่เผชิญเหตุการณ์นี้นางจะทำอย่างไร?
ซ่งชิงเยียนเข้มแข็งมากที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ หากเป็นนางที่ต้องพบเจอเรื่องนั้นด้วยตัวเองคงเลือกที่จะจบชีวิตทิ้งไป การดำเนินชีวิตของสตรีในโลกที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ตายหนีเรื่องบัดซบไปให้พ้นยังง่ายเสียกว่า
พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องหอก็พลอยทำให้นึกถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา คนที่จ้าวเมิ่งเหยียนคิดว่าน่าจะเป็นคนดีอยู่บ้าง แต่สุดท้ายกลับเป็นบุรุษเลวทรามที่สุดในชีวิตของซ่งชิงเยียน
กงไป๋อวี่
จำได้ว่าตอนอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดซ่งชิงเยียนต้องแต่งงานออกเรือนให้กับชายผู้นี้เท่ากับว่าตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเกือบสี่ปีที่นางจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของซ่งชิงเยียน
นอกจากจะต้องจัดการอู๋กงกงกับกำจัดตี้ฉางแล้ว เวลานี้จ้าวเมิ่งเหยียนยังต้องวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับกงไป๋อวี่อีกด้วย
“ตี้ฉาง ข้ารู้ปวดหัวช่วยหายามาให้กินหน่อยได้หรือไม่” จ้าวเมิ่งเหยียนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างหันหน้าไปหานางกำนัลที่อ่อนวัยกว่าตนเองหนึ่งหรือสองปีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“องค์หญิงทรงประชวรหรือเพคะ เช่นนั้นเสด็จมานอนบนเตียงก่อนเถอะเพคะ แล้วหม่อมฉันจะไปแจ้งคนให้ไปตามหมอหลวงมาตรวจนะเพคะ” ตี้ฉางเอ่ยพร้อมกับเดินเข้ามาช่วยประคองให้จ้าวเมิ่งเหยียนกลับไปนอนที่เตียง
“รอสักครู่นะเพคะ หม่อมฉันจะไปตามหมอหลวง”