บทที่ 21 ครุ่นคิดและวางแผน - 2
นี่ไม่ใช่การแก้แค้นใดๆ เพราะเธอไม่ใช่ซ่งชิงเยียนตัวจริงและไม่เคยมีความแค้นใดๆ กับคนเหล่านั้น เธอเป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่งที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในร่างของซ่งชิงเยียนและทุกอย่างที่เธอจะทำต่อไปนี้ก็เป็นเพียงการทำเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น!
จนกว่าเธอจะสามารถกลับไปยังห้วงเวลาปัจจุบันที่จากมาได้
“เอาล่ะ ก่อนอื่นก็ต้องรู้ก่อนสินะว่านอกจากฮ่องเต้แล้วในวังนี้ใครมีอำนาจรองลงมาระหว่างไทเฮากับฮองเฮา”
เพราะมีเพียงแต่การเข้าหาคนทีมีอำนาจมากกว่าเท่านั้น จึงสามารถรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายได้ จ้าวเมิ่งเหยียนไม่คิดจะเข้าหาฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาของร่างนี้ บุรุษผู้นั้นนอกจากอำนาจแล้วเขาก็ไม่เคยต้องการอะไร ในขณะเดียวอำนาจนั้นก็เป็นสิ่งเขาหวาดกลัวที่สุดด้วยเช่นกัน
คนมีอำนาจ ย่อมหวาดกลัวว่าสักวันจะสูญเสียอำนาจที่มีไป
และการที่นางจะอยู่รอดปลอดภัยได้นั้น สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้นั่นก็คือการพึ่งพาผู้มีอำนาจที่มากกว่าหรือเทียบเท่ากับฮ่องเต้
แน่นอนว่าบนแผ่นดินนี้จะมีใครมีอำนาจมากกว่าฮ่องเต้นั้นไม่มี แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีใครสักคนที่ฮ่องเต้จะต้องเกรงใจและไว้หน้าอยู่บ้างซึ่งบุคคลเหล่านั้นก็ไม่ใช่ใคร ย่อมเป็นกลุ่มคนที่เป็นขุมอำนาจของเขานั่นเอง
สาบานได้ว่าจ้าวเมิ่งเหยียนไม่ได้มองว่าฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาของซ่งชิงเหยียนเป็นศัตรู ทว่าบุรุษผู้ที่ไม่เคยดูแลใส่ใจบุตรสาวของตนเอง ทั้งยังปล่อยให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันยากลำบาก เติบโตขึ้นมาโดยที่ไม่เคยมีใครเอาใจใส่ เลวร้ายยิ่งกว่าคือการที่เขาใช้บุตรสาวเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจและสิ่งที่ตัวเองต้องการ
บุรุษเช่นนั้นนางนับถือเป็นบิดาไม่ได้จริงๆ
อาจจะเป็นเพราะชีวิตจริงของนางเติบโตมากับพ่อที่รักและดูแลเอาใจใส่ลูกๆ มาตลอดด้วยส่วนหนึ่ง จึงทำให้ซ่งเฟยหลงฮ่องเต้ในสายตาของนางไม่มีคุณสมบัติใดๆ ดีพอที่จะเป็นพ่อคน
แต่ก็ว่าไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงฮ่องเต้ผู้ปกครองผู้คนเรือนแสน เขาไม่อาจกรทำตามใจของตัวเองได้ทุกอย่าง ทุกย่างก้าวของเขาต้องทำไปเพื่อราษฎรทั้งหลายที่เปรียบเสมือนลูกของเขา
ดังนั้นต่อให้เขาทิ้งๆ ขว้างๆ ลูกแท้ๆ ในไส้ของตนเองก็ไม่นับว่าเป็นอะไร หากในสายตาของคนภายนอกเขายังเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้และเป็นที่ยอมรับได้อยู่
“เหนือฟ้ายังฟ้า เหนือฮ่องเต้ก็ยังมี...ไทเฮา” จ้าวเมิ่งเหยียนผุดรอยยิ้มร้ายออกมาอีกครั้งเมื่อนางเห็นช่องทางในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของซ่งชิงเยียน
มีลูกบ้านใดบ้างเล่าไม่กตัญญูต่อบิดรมารดา?
ยิ่งเป็นฮ่องเต้ด้วยแล้วยิ่งต้องแสดงความกตัญญูนั้นของตนเองให้ราษฎรได้เห็น ไม่อย่างนั้นคงถูกครหาว่ากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด ขาดคุณสมบัติการเป็นฮ่องเต้ที่ดีไปอีก
จ้าวเมิ่งเหยียนมีแผนการในใจแล้วว่านางจะต้องเข้าทางไทเฮาเป็นอันดับแรกในบรรดาคนมีอำนาจที่นางพอจะคิดออกว่ามีใครบ้าง แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่าเรื่องราวที่นางได้ฟังมาซ่งชิงเยียนนั้นไม่เคยมีไทเฮาปรากฏตัวอยู่เลย ฝ่ายนั้นไม่เคยเอ่ยถึงผู้เป็นย่าของตัวเอง ขนาดฮองเฮาเองนางก็เอ่ยถึงแต่เพียงน้อยนิด บอกเล่าเพียงว่าฮองเฮาเป็นพระมารดาขององค์ชายใหญ่ที่เป็นรัชทายาทกับองค์ชายรองซ่งเซียวหลินและยังมีพระธิดาสุดท้องอีกหนึ่งคนนั่นก็คือองค์หญิงห้าซ่งชิงหนี่ว์
คิดมาถึงตรงนี้จ้าวเมิ่งเหยียนก็พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา เรื่องราวในวังหลวงนั้นซับซ้อนแต่ความเป็นไปในวังหลังของฮ่องเต้นั้นมืดดำเสียยิ่งกว่าดังนั้นแล้วการออกไปมีชีวิตที่เป็นอิสระด้านนอกนั้นเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสมที่สุด
จำได้ว่าครั้งหนึ่งซ่งชิงเยียนก็ปรารถนาจะมีชีวิตที่เงียบสงบและมีอิสระ นางถึงกับเคยมีความคิดว่าจะขอหย่าขาดกับกงไป๋อวี่อย่างลับๆ แล้วหนีไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษกับตี้ฉาง
แต่น่าเสียดายที่ว่าความปรารถนานั้นของซ่งชิงเยียนไม่เคยเป็นความจริง
เพราะสุดท้ายนางก็ต้องมาตายไปเพราะกงไป๋อวี่ผู้ชั่วช้าและคนทรยศอย่างตี้ฉาง
“ถ้าอย่างนั้นก็พอกันที...ตี้ฉางผู้นี้ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ข้างกายซ่งชิงเยียนอีกต่อไปแล้ว” สุดท้ายความคิดที่จ้าวเมิ่งเหยียนตกผลึกได้นั้นก็คือการกำจัดตี้ฉางไปให้พ้นๆ ก่อนเป็นอันดับแรก