บทที่ 3 ชะตากรรมของเจ้าสาว - 1
บทที่ 3 ชะตากรรมของเจ้าสาว
หนึ่งเดือนต่อมาหลังจากราชโองการพระราชทานสมรสถูกประกาศและส่งไปยังเมืองหมานฟาและเมืองฉายจี๋ ตัวแทนของอ๋องผู้ครองเมืองทั้งสองก็เดินทางมาถึงเมืองเป่าผิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นซิ่ง ครึ่งเดือนหลังจากนั้นองค์หญิงเจ็ดก็ออกเดินทางกลับไปยังเมืองหมานฟาพร้อมกับขบวนตัวแทนที่ถูกส่งตัวมารับเจ้าสาว
ในขณะที่องค์หญิงแปดซ่งชิงเยียนผู้เป็นธิดาองค์สุดท้องของฮ่องเต้ซ่งเฟยหลงก็ได้เดินทางกลับไปยังเมืองฉายจี๋พร้อมกับตัวแทนที่ถูกส่งตัวมารับเจ้าสาวเช่นเดียวกันแต่เป็นช่วงเวลาก่อนหน้านั้นหลายวันแล้ว
เจียเฉิงอ๋อง กงหานจงคือผู้ปกครองเมืองฉายจี๋ในเวลานี้ ณ สถานที่แห่งนั้นเขาเปรียบเสมือนฮ่องเต้ผู้กุมชะตาชีวิตของผู้คนเรือนหมื่น ซ่งชิงเยียนแอบคาดหวังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจว่าเจียเฉิงอ๋องซื่อจื่อจะเป็นที่พึ่งใหม่ให้นาง เมืองฉายจี๋จะกลายเป็นบ้านหลังสุดท้าย ชีวิตหลังจากนี้แม้ไม่อาจเรียกว่าสงบสุขแต่นางก็หวังเหลือเกินว่ามันจะไม่ทุกข์ทรมานและอ้างว้างโดดเดี่ยวเฉกเช่นในวังหลวงที่รายล้อมไปด้วยกำแพงสูงแห่งนั้นเหมือนดังที่ผ่านมา
“สืบเรื่องภายในจวนอ๋องให้เจิ้น...แล้วเจิ้นจะอนุญาตให้เจ้ากลับมาเมืองหลวง กลับมาอยู่ในวังหลวงอันสุขสบายดั่งเดิม”
ซ่งชิงเยียนหลับตาลงช้าๆ เมื่อนึกถึงจดหมายลับที่ขันทีคนสนิทของพระบิดานำมาให้อ่านก่อนที่นางจะก้าวออกนอกประตูวังหลวงมา
คนผู้นั้น...ทั้งๆ ที่เป็นผู้ส่งนางออกจากวังหลวงมาด้วยตัวเองแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับขีดเส้นตายให้นางด้วยการแฝงตัวเป็นสายลับ หากนางไม่ทำตามนั่นย่อมหมายความได้อย่างเดียวคือคำว่าทรยศ แต่ถ้าถูกเจียเฉิงอ๋องหรือซือจื่อจับได้ ชีวิตนางก็คงพบพานเพียงแค่ความทรมานสถานเดียว ไหนเลยจะมีความสุข มีอิสระได้อย่างที่วาดหวังไว้
การเดินทางจากเมืองหลวงมายังเมืองฉายจี๋ใช้เวลาร่วมหนึ่งเดือนในยามปกติ แต่ถ้าเป็นการเดินทางในฤดูหนาวจะใช้เวลานานกว่านี้มาก บางทีอาจจะกินเวลาเกินสองเดือนหรือมากกว่านั้น ด้วยเพราะเส้นทางที่เคี้ยวคดบวกกับชัยภูมิที่เป็นหุบเขาการเดินทางจึงไม่ราบรื่นง่ายนัก จึงต้องอาศัยผู้ที่ชำนาญในการเดินทางในเส้นทางเป็นผู้นำทาง ไม่เช่นนั้นหากเกิดหลงทางไปแล้วก็เป็นเรื่องยากในการตามหาตัว
นั่นอาจนับเป็นข้อเสียของเมืองฉายจี๋ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งนั่นคือข้อดีที่สุดของเมืองแห่งนี้ เพราะความซับซ้อนด้านภูมิศาสตร์นี้เองจึงทำให้ศัตรูไม่อาจโจมตีเมืองแห่งนี้ให้แตกพ่ายได้โดยง่ายดาย เมืองฉายจี๋จึงยังเป็นหัวเมืองทางเหนืออันแข็งแกร่งของแคว้นซิ่งมาจนถึงปัจจุบัน
“กราบทูลองค์หญิง เหลือระยะทางอีกราวๆ สองร้อยลี้ก็จะถึงเมืองฉายจี๋แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่าตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว กระหม่อมจึงเห็นควรว่าพวกเราควรจะพักค้างแรมกันนอกเมืองก่อนพ่ะย่ะค่ะ เพราะต่อให้เดินทางต่อไปอีกก็คาดว่าคงไม่ทันประตูเมืองปิดพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้หนึ่งของเจียเฉิงอ๋องที่ซ่งชิงเยียนจำชื่อไม่ได้เอ่ยบอกอยู่ที่ด้านนอกรถม้า
“จัดการตามที่ท่านแม่ทัพเห็นสมควรเถิด ข้าไม่มีปัญหาอะไร”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”
ขบวนเดินทางของซ่งชิงเยียนพักค้างแรมอยู่นอกประตูเมืองฉายจี๋หนึ่งคืนก่อนจากนั้นเช้าวันต่อมาจึงได้พากันออกเดินทางต่อเพื่อเข้าไปยังตัวเมืองและกว่าที่ขบวนเดินทางขององค์หญิงแปดจะถึงจวนของเจียเฉิงอ๋อง เวลาก็ล่วงเลยเข้าไปยามเซิน (15.00-16.59น.) แล้ว
“คารวะเจียเฉิงอ๋อง คารวะพระชายาเพคะ”
“องค์หญิงเดินทางรอนแรมนานนับเดือน ลำบากมากเลยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” กงหานจงเอ่ยกับสตรีแน่งน้อยตรงหน้า ดูจากรูปร่างหน้าตาภายนอกแล้วองค์หญิงแปดซ่งชิงเยียนผู้นี้ก็งดงามดีอยู่หรอก ทว่าใบหน้านั้นกลับมิคล้ายฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาเท่าใดนัก มีแค่เค้าโครงใบหน้าที่นับได้ว่าเหมือนกันอยู่ คาดว่าความงดงามนี้คงได้จากพระสนมขั้นผินผู้นั้นมา
“การเดินทางในครั้งนี้ไม่นับว่ายากเข็ญประการใดเพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ส่งคนไปรับและดูแลอารักขาผู้น้อยอย่างดี” ซ่งชิงเยียนเอ่ยตอบพร้อมกับย่อกายทำความเคารพ บุรุษมากวัยผู้นี่ย่อมต้องเป็นเจียเฉิงอ๋อง กงหานจง ไม่ผิดแน่