บทที่ 2 เรื่องเล่า (จากปากหมา) - 2
“ต่อไปถ้ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรก็ห้ามเก็บไว้คนเดียวนะ พูดให้ฉันฟังได้เสมอเลย หรืออยากจะออกไปไหนก็บอกได้เหมือนกัน อยากกินอะไรก็บอกได้ ฉันยินดีทำให้ทุกอย่างเลย”
“ขอบใจเจ้า เจ้าช่างเป็นเพื่อนที่ดี”
“แน่นอนสิ ใครจะโชคดีซื้อหมามาเลี้ยงแล้วหมาพูดได้แบบฉันบ้างล่ะ? ไม่มีหรอก”
“เจ้าดูเป็นคนเก่ง กล้าหาญไม่เกรงกลัว และมีความสุขได้แม้แต่กับเรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจ หากข้าเป็นได้อย่างเจ้า ชีวิตที่ผ่านมาข้าอาจจะมีความสุขกว่านี้”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอเคยพบเจอเรื่องอะไรมา แต่ฉันเชื่อว่าการที่เราพบกันนั้นเป็นเรื่องดีแน่นอน”
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?”
“แน่นอนสิ อย่างที่บอกไป มีอะไรก็ระบายกับฉันได้ฉันเป็นผู้ฟังที่ดีนะ”
“ระบายหรือ?”
“ใช่ ระบายความทุกข์ออกมา”
ซ่งชิงเยียนยิ้มบาง...บางทีการระบายเรื่องราวที่ฝังอยู่ในใจให้ใครสักคนฟังบางทีอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ อย่างน้อยๆ ก็มีคนรับฟังเรื่องราวเหล่านั้นร่วมกับนาง
“แทนที่จะให้ข้าระบายความทุกข์ให้เจ้าที่เป็นสหายของข้าฟัง มิสู้ข้าเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังดีกว่า”
“นิทานเหรอ?” จ้าวเมิ่งเหยียนทำแก้มพอง ตอนนี้เธออายุยี่สิบสองแล้ว ใช่วัยที่ต้องมานั่งฟังนิทานที่ไหนกันล่ะ แต่ก็.... “เอาสิ อยากรู้เหมือนกันว่านิทานเมื่อพันกว่าปีก่อนนั้นจะเป็นยังไง”
วิญญาณคนในร่างของสุนัขยิ้ม จากนั้นจึงได้เริ่มต้นเล่านิทาน “บุปผาเรือร้าง” ให้คนตรงหน้าฟัง
“ย้อนกลับไปเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว...”
แคว้นซิ่ง
รัชศกปี้เฉิง ปีที่ยี่สิบถูกปกครองด้วยกษัตริย์มีพระนามว่าซ่งเฟยหลงฮ่องเต้ พระองค์ทรงครองราชสมบัติต่อจากอดีตฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาเมื่อครั้งมีพระชนมายุได้สี่สิบชันษา เวลาผ่านมายี่สิบปีซ่งเฟยหลงฮ่องเต้ก็เข้าสู่วัยชราภาพ ทว่าบัลลังก์ของเขากลับไร้ซึ่งทายาทสืบทอด แต่หาใช่เป็นเพราะไร้พระโอรสไม่
ซ่งเฟยหลงฮ่องเต้มีพระโอรสสี่พระองค์ พระธิดาอีกห้า ทว่าเหตุที่ตำแหน่งรัชทายาทยังไร้ผู้ครอบครองมาจนถึงปัจจุบันนั้นกลับเป็นเพราะฮ่องเต้มิทรงแต่งตั้งผู้ใดเลย ทั้งๆ ที่องค์ชายทั้งสี่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่คู่ควรแก่การสืบทอดบัลลังก์ทั้งสิ้น
ว่ากันว่า...ตลอดระยะเวลายี่สิบปีที่ทรงครองราชย์ ฮ่องเต้ทรงมีเรื่องกลัดกลุ้มพระทัยอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถวางพระทัยได้ลง นั่นก็คือเรื่องดินแดนของแคว้นซิ่งที่อดีตฮ่องเต้ทรงมอบให้เป็นดินแดนบรรดาศักดิ์ของอ๋องต่างสกุลสองคน คนหนึ่งปกครองผืนดินแดนเหนือซึ่งก็คือเมืองฉายจี๋ที่ปกครองโดยเจียเฉิงอ๋อง กงหานจง
ส่วนอีกคนหนึ่งปกครองดินแดนที่อยู่ราบลุ่มต่ำลงมา ยามหนาวก็หนาวเหน็บไม่แพ้เมืองฉายจี๋ ทว่าระยะเวลากลับสั้นกว่า อากาศอบอุ่นกว่าซึ่งก็คือเมืองหมานฟา ปกครองโดยหนานหลิงอ๋อง หลินหมิงเจี๋ย
ในพระทัยของฮ่องเต้ซ่งเฟยหลง พระองค์ทรงอยากได้ผืนดินทั้งสองเมืองนั้นกลับมาปกครองด้วยพระองค์เองมาโดยตลอด ทว่าผลงานในอดีตของอ๋องทั้งสองนั้นมีมากมาย ราษฎรในเมืองนั้นรวมทั้งเมืองใกล้เคียงต่างก็พากันแซ่ซ้องสรรเสริญหนานหลิงอ๋องกับเจียเฉิงอ๋องกันอย่างมากมายและแพร่หลาย
ฮ่องเต้ซ่งเฟยหลงเองก็ยึดมั่นในคุณธรรมและพระพักตร์ของพระองค์เองอย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์อยากให้อ๋องทั้งสองมอบคืนแดนบรรดาศักดิ์ทั้งสองเมืองนั้นให้พระองค์ใจแทบขาด แต่ไหนเลยจะกล้าเอ่ยปาก ผืนดินตรงนั้นเป็นอดีตฮ่องเต้ที่ทรงพระราชทานให้อ๋องทั้งสองด้วยพระองค์เอง หากซ่งเฟยหลงฮ่องเต้เรียกคืนแดนบรรดาศักดิ์อย่างไร้สาเหตุ นั่นมิเท่ากับว่าพระองค์ทรงไร้คุณธรรมหรอกหรือ?
อีกอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งหนานหลิงอ๋องกับเจียเฉิงอ๋องก็ประพฤติตนอยู่ในขอบเขตมาโดยตลอด อีกทั้งยังไม่เคยกระทำสิ่งใดให้ถูกตั้งความผิด เรียกว่าอ๋องทั้งสองระแวดระวังในการดำรงชีวิตยิ่ง ด้วยเพราะรู้ดีว่าผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินนั้นคอยเพ่งเล็งอยู่อย่างไม่วางตา
กระทั่งวันหนึ่ง ฮ่องเต้ซ่งเฟยหลงก็คิดแผนการหนึ่งขึ้นมา...แผนการที่จะทำให้พระองค์ทรงสามารถเรียกคืนดินแดนบรรดาศักดิ์นั้นได้อย่างชอบธรรม
“เจิ้น...จะมอบราชโองการแต่งงานให้ทายาทผู้สืบทอดทั้งสองของหนานหลิงอ๋องกับเจียเฉิงอ๋อง”
และนั่นก็คือแผนการสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวของผู้อื่นของฮ่องเต้