บทที่ 2 เรื่องเล่า (จากปากหมา) - 1
บทที่ 2 เรื่องเล่า (จากปากหมา)
“ใช่ ข้าเคยเป็นถึงองค์หญิง ยุคสมัยที่ข้าอยู่นั้นแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง” ซ่งชิงเยียนในร่างสุนัขเอ่ยปากเล่า “แต่กลับดูมีอิสระมากกว่า”
ก่อนหน้าที่จะถูกซื้อมา ซ่งชิงเยียนก็มีชีวิตอยู่ในร่างของสุนัขตัวน้อยตัวนี้แล้ว อันที่จริงควรบอกว่านางได้ตายตกจากชาติก่อนแล้วมาเกิดเป็นสุนัขมากกว่า
ทว่า...ความทรงจำนั้นชาติก่อนหน้านั้นกลับมิได้ถูกลบเลือน มิรู้ว่าตอนที่วิญญาณออกจากร่างแล้วนั้นนางมิได้เดินทางไปยังปรโลกบนเส้นทางหวงเฉวียนหรืออย่างไร ความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำทั้งหลายจึงยังตามติดกายมาด้วยจนถึงทุกวันนี้
แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าร่างกายยามนี้จะกลายเป็นสุนัขตัวกระจ้อยร่อย ความทรงจำไม่เลือนหาย แต่นั่นก็ช่างมันเถิด เรื่องราวเหล่านั้นหากได้ทำให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงตัวตนของนางไม่ ทว่าสวรรค์กลับเล่นตลก ส่งนางให้มาเกิดเป็นสุนัขแต่กลับเป็นสุนัขพูดภาษาคนได้ เช่นนี้แล้วความลับจะยังคงเป็นความลับได้อย่างไร หนำซ้ำยังทำให้นางกลายเป็นความแปลกประหลาดของโลกใบใหม่ใบนี้ไป
สุดท้ายแล้วเรื่องราวจึงเป็นอย่างที่เห็น นางถูกหญิงสาวผู้ซื้อมาสอบถามซักไซ้ถึงที่ไปที่มา อันที่จริงนางจะโกหกอีกฝ่ายไปก็ได้ แต่ส่วนลึกในใจแล้วกลับไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้น ถึงอย่างเรื่องราวในชาติก่อนก็เป็นเรื่องผ่านมาแล้ว...เนิ่นนานข้ามชาติข้ามภพเลยทีเดียวและคงไม่เป็นไรหากนางจะเอ่ยถึงมันสักครั้ง เพื่อตอกย้ำและเตือนใจตนเองว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตนางก็เคยได้ผ่านความทุกข์ทรมานเหล่านั้นมาแล้ว
“หากฉันเดาไม่ผิด เธอคงมาจากโลกยุคโบราณสินะ” จ้าวเมิ่งเหยียนออกความคิดเห็น
“โลกยุคโบราณหรือ?”
“อืม...โลกที่ยังเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถม้า ไม่ก็เดินเท้า โลกที่บุรุษเป็นช้างเท้าหน้า สตรีต้องเชื่อฟัง โลกที่ยุทธภพไม่ข้องเกี่ยวกับราชวงศ์เฉกเช่นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”
“เจ้ารู้เรื่องเหล่านั้น?!” ซ่งชิงเยียนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางประหลาดใจ นางไม่คิดเลยว่าในโลกใบใหม่แห่งนี้จะมีคนที่รู้เรื่องเหล่านั้นอยู่
“รู้สิ เพราะนั่นล้วนเป็นอดีต เป็นเรื่องราวและเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมาแล้วนับพันปี”
“ผ่านมาแล้วนับพันปี?” ซ่งชิงเยียนอึ้งไป ด้วยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตนเองจะข้ามผ่านกาลเวลามายาวนานถึงพันปีเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ความรู้สึกของการถูกฆ่าตายยังสดใหม่ราวกับว่ามันเพิ่งขึ้นกับนางเมื่อไม่นานมานี้เอง
แต่ที่แท้กลับผ่านมานานกว่าพันปีแล้ว...
“เป็นอะไรไป รู้ไม่สบายรึเปล่า?”
“ไม่ ข้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น”
“แปลกใจ? เรื่องอะไร”
ซ่งชิงเยียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยบอก “แปลกใจที่เจ้ายังเป็นปกติได้อยู่ ทั้งที่สิ่งที่เจ้าเจออยู่ในตอนนี้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ทั้งสุนัขพูดได้ ทั้งวิญญาณเร่ร่อน แต่เจ้ากลับไปไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ออกจะดูสนอกสนใจด้วยซ้ำ”
คราวนี้เป็นจ้าวเมิ่งเหยียนยิ้มกว้างนางก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาใหม่ “เพราะฉันเองก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่งสำหรับโลกนี้ยังไงล่ะ”
“...”
“แม่ของฉัน...ก่อนจะตั้งท้องฉันแม่ของฉันท่านเป็นคนชอบดูดวง หลงใหลถึงขนาดไปร่ำเรียนวิชาดูดวงมา แล้วก่อนที่ท่านจะตาย แม่ก็บอกฉันว่าเมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งของชีวิตฉันจะกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าของโลกใบนี้ ฉันไม่เข้าใจ จนเท่าทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ แต่สิ่งหนึ่งที่แม่ย้ำนักหนาว่าให้ทำตามอย่าได้หละหลวม นั่นคือห้ามมีแฟนก่อนอายุยี่สิบห้าและห้ามเลี้ยงสัตว์สี่เท้า”
“!...เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าขัดคำสั่งเสียของแม่เจ้าโดยการนำข้ามาเลี้ยง”
จ้าวเมิ่งเหยียนยิ้มขำ “ฉันถึงได้บอกว่าฉันเองก็เป็นความแปลกประหลาดของโลกใบนี้ไง”
“...”
“ฉันไม่ได้แพ้ขนสัตว์ ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรทั้งนั้น อย่างนั้นแล้วทำไมฉันจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไม่ได้ล่ะ เธอว่าจริงไหม?”
“ท่านแม่เจ้าอาจจะมีเหตุผลที่ไม่ได้บอกกับเจ้า พวกเขาล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง”
“และฉันเองก็มีเหตุผลเป็นของตัวเองเหมือนกัน” จ้าวเมิ่งเหยียนยืดอกว่า “ไม่มีใครบังคับใจเราได้หรอกนะ ถ้าเราไม่ยินยอม”
“เจ้าดูแข็งแกร่งยิ่ง” ซ่งชิงเยียนเอ่ยชม หากคนตรงหน้าในยุคสมัยเดียวกับนาง คาดว่าจะต้องเป็นสตรีหาญกล้าน่าชื่นชมมากผู้หนึ่งเป็นแน่
“แต่เธอกลับดูเป็นทุกข์นะ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า ถ้าไม่รังเกียจละก็นะจะเล่าให้ฉันฟังก็ได้ ถึงยังไงตอนนี้เธอก็อยู่ในร่างของสุนัขของฉัน ดังนั้นเราจึงนับเป็นเพื่อนกัน”
“เพื่อนหรือ?”
“แน่นอนสิ เพื่อนต้องช่วยเพื่อน ฉะนั้นถ้าเธอมีอะไรที่คิดว่าฉันพอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เลย รูปร่างลักษณะภายนอกไม่สำคัญ แค่เราคุยกันเข้าใจก็พอแล้ว”
ซ่งชิงเยียนกว้างก่อนจะยื่นขาหน้าไปวางไว้บนฝ่ามือของจ้าวเมิ่งเหยียนที่ยื่นออกมา เป็นการให้สัญญาว่าต่อจากนี้ไปนางกับคนตรงหน้านั้นคือเพื่อนกัน ไม่แบ่งแยกแม้มีความแตกต่างด้านสายพันธุ์ ความจริงใจเท่านั้นที่ยึดเป็นหลักประกันของความสัมพันธ์นี้
น่าแปลกที่คนกับสุนัขกลายเป็นเพื่อนกันได้อย่างจริงใจ แต่คนคบกับคนกลับไร้ซึ่งความซื่อสัตย์ต่อกันอย่างสิ้นเชิง