บทที่ 1 ฟู่ฟู่ แห่งคฤหาสน์ตระกูลจ้าว -2
และเมื่อถึงมือหมออาการป่วยของเธอก็ไม่น่าเป็นห่วงอีกต่อไป ทว่าสิ่งแรกที่เธอถามหาเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับไม่ใช่พ่อหรือพี่ชาย แต่เป็นเจ้าฟู่ฟู่สุนัขปอมเมเรเนียนของตัวเอง
“มันเก่งมากนะ ลูกรู้ไหมว่ามันเห่าเสียงดังลั่นบ้านเพื่อเรียกร้องความสนใจ ป๊าถึงได้เปิดประตูห้องลูกเข้ามา แล้วถึงรู้ว่าลูกไม่สบาย ปกติแม่บ้านบอกป๊าว่าเจ้าฟู่ฟู่มันค่อยเห่าเลย ทั้งวันไม่ได้ยินเสียงมันแม้แต่ครั้งเดียว”
“ค่ะ ฟู่ฟู่เป็นเด็กดีมาก” คนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้กล่าวยิ้มๆ โดยที่เธอไม่ได้เล่าอะไรบางอย่างที่นึกสงสัยอยู่ออกไปให้ผู้เป็นพ่อฟัง
ในวันที่เธอนอนละเมออยู่บนเตียงด้วยพิษไข้นั้น แท้จริงแล้วเธอไม่ได้หมดสติหรือหลับลึกอะไรขนานนั้น เธอได้เสียงเห่าของฟู่ฟู่ดังก้องเข้าไปในหู ปากก็ละเมอไปต่างๆ นานาทว่าในสมองของเธอ เธอกลับคิดว่าตัวเองเรียกชื่อเจ้าฟู่ฟู่อยู่
และในช่วงเวลาก่อนหน้าที่ฟู่ฟู่จะเห่าเรียกคนเข้ามานั้น เธอคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงพูดของผู้หญิง...เสียงพูดที่เธอคิดว่ามันดังมาจากจ้าฟู่ฟู่
สี่วันต่อมาอาการป่วยของหญิงสาวก็ดีขึ้น เธอไม่รอช้าที่จะทำเรื่องขอออกจากโรงพยาบาลทันทีที่แพทย์วินิจฉัยว่าเธอพ้นขีดอันตราย ไม่มีไข้สูงอีกแล้วและปลอดภัยถึงขั้นที่สามารถกลับไปพักที่บ้านได้
“คุณหนูกลับมาแล้ว เจ้าฟู่ฟู่ต้องดีใจมากแน่ๆ เลยค่ะ คุณหนูไม่อยู่หลายวันมันหงอยไปเยอะเลย กินอาหารได้น้อยแต่ยังถือว่าปกติ”
จ้าวเมิ่งเหยียนยิ้มบางรับคำพูดของแม่บ้านประจำคฤหาสน์ จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนของตัวเองไปพร้อมกับบอกว่าต้องการพักผ่อนและไม่อนุญาตให้ใครรบกวน
“ฟู่ฟู่” จ้าวเมิ่งเหยียนเอ่ยเรียกสุนัขตัวน้อยของตัวเอง มันเงยหน้าขึ้นมาจากที่นอนของมัน จากนั้นก็เดินช้าๆ เข้ามาหาเธอ
“ฟู่ฟู่” หญิงสาวเอ่ยเรียกมันอีกครั้งราวกับคาดหวังว่ามันจะส่งเสียงตอบกลับเธอมา แต่จนแล้วจนรอดเจ้าปอมเมเรเนียนน้อยก็ยังไม่แม้แต่จะอ้าปากเห่า เวลาเธอเข้าใกล้มันก็ก้าวขาถอยหลังอย่างระแวดระวัง เวลาเธอลูบหัวมันดวงตากลมๆ นั่นก็คล้ายกับว่ากำลังมองค้อนเธอ
“ทำไม? ไม่พอใจที่ลูบหัวหรือไง ปกติหมาชอบให้ลูบหัวนี่นา...หรือเธอไม่ใช่” เป็นเรื่องแปลกประหลาดไปแล้วที่จ้าวเมิ่งเหยียนคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงหมาตัวเองเห่าออกมาเป็นคำพูด
“หรือว่าวันนั้นฉันจะป่วยจนหูแว่วไปเองจริงๆ”
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาจ้าวเมิ่งเหยียนก็เลิกสนใจเรื่องที่เธอคิดว่าฟู่ฟู่พูดได้ไป กระทั่งเวลาผ่านไปหลายเดือนเธอก็ไม่ได้กลับมาคิดถึงเรื่องนั้นอีกและใช้ชีวิตไปตามปกติ นั่นจึงทำให้เจ้าปอมเมเรเนียนน้อยตายใจ คิดว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของนั้นวางใจปล่อยเรื่องที่สุนัขของตัวเองพูดได้ไปแล้วจริงๆ
โดยที่สุนัขน้อยนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทุกอย่างก้าวของมันในห้องนอนของผู้เป็นนายนั้นมีกล้องซุกซ่อนอยู่หนึ่งตัว...กล้องที่สามารถบันทึกทั้งภาพและเสียงของมันได้อย่างชัดเจน
กลางดึกสงัดท่ามกลางสายวันตกกระหน่ำ ร่างเล็กน้อยที่เต็มไปด้วยขนนุ่มฟูฟ่องลุกจากที่นอนของตัวเองมายืนมองฝนตกอยู่ข้างผนังกระจก ใบหน้าเล็กเหม่อมองออกไปด้านนอก ดวงจันทร์ในวันฝนตกนั้นไม่อาจส่องแสงได้แจ่มชัด มีเพียงเสียงฝนและความชื้นเย็นเท่านั้นที่ครอบครองบรรยากาศโดยรอบอยู่ภายในเวลานี้
“สรุปแล้วที่นี่มันคือภพภูมิใดกันนะ ไยจึงมิคล้ายกับดินแดนที่เคยอยู่เลย” เจ้าปอมเมเรเนียนน้อยพึมพำ โดยหารู้ไม่ว่าเวลานี้มันไม่ได้ยืนมองสายฝนที่กำลังตกอย่างหนักอยู่เพียงผู้เดียวแล้ว
“แล้วเธอเคยอยู่ที่ไหนมาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
“...!” ปอมเมเรเนียนน้อยตกใจอย่างหนัก มันหันกลับไปมองด้านหลังทันที ก่อนจะพบว่าจ้าวเมิ่งเหยียนนั่งอยู่ข้างหลัง
เมื่อครู่นางคงเผลอใจลอยมากเกินไป อีกฝ่ายมาถึงเมื่อใดก็ไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องกลัว...ฉันจะไม่ทำร้ายเธอ ไม่มีทางทำร้ายเธอ...ฉันสัญญา”
“...” สุนัขตัวน้อยถอนหายใจออกมาเบาๆ เห็นทีว่าครั้งนี้นางคงมิอาจรักษาความลับเอาไว้ได้แล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร” จ้าวเมิ่งเหยียนเอ่ยพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยออกมาเพื่อให้คำมั่นสัญญา
“หากเจ้าบอกออกไป ผู้คนคงได้คิดว่าเจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว” ปอมเมเรเนียนน้อยเอ่ยตอบก่อนจะถอนหายใจด้วยท่าทางปลดปลง
จ้าวเมิ่งเหยียนพยักหน้าเห็นด้วย ร่างบางขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็กขนฟูขึ้นอีกนิด ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกลับเลือกที่จะหันหน้ากลับไปมองสายฝนที่กำลังตกอย่างหนักอยู่ด้านนอกตามเดิม
“เธอชื่ออะไรเหรอ?” จ้าวเมิ่งเหยียนเป็นฝ่ายชวนคุย
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ เธอไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือตกใจอะไรเลยสักนิด ด้วยเพราะว่าเธอนั้นมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าเสียงของหญิงสาวที่เธอได้ยินในวันนั้นมีต้นกำเนิดมาจากฟู่ฟู่แน่ๆ เธอจึงยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองได้ประสบพบเจอด้วยตัวเองมาโดยตลอด
กระทั่งวันนี้สิ่งที่เธอสงสัยก็ได้รับความกระจ่างในที่สุด
ฟู่ฟู่เป็นสุนัข....ทั้งยังเป็นสุนัขที่พูดภาษามนุษย์ได้อีกด้วย!
“ข้าหรือ?”
“อืม...ในห้องนี้มีแค่เธอกับฉันนะ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมาได้ยิน ห้องเก็บเสียงอย่างดี”
ผู้ฟังพยักหน้ารับ เรื่องที่ห้องนี้เก็บเสียงได้ดีนั้นนางไม่อาจโต้แย้งได้เลยแม้แต่ครึ่งคำ ในเมื่อตัวนางเองได้พิสูจน์มาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน
“ผนังหนาจริงๆ ครั้งก่อนข้าเห่าตั้งนานกว่าจะมีคนมาได้ยิน”
จ้าวเมิ่งเหยียนยิ้มกว้าง เธอรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่อีกฝ่ายยอมพูดคุยกับตัวเองแล้ว “จริงด้วย...ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ เป็นวิญญาณที่เข้ามาอยู่ในร่างของสุนัขตัวนี้หรือว่าเป็นเจ้าของร่างนี้จริงๆ”
“เจ้าดูไม่กลัว อีกทั้งยังไม่แปลกใจสักนิดที่เห็นสุนัขพูดได้?” เจ้าขนฟูตั้งข้อสงสัย
“ตอนแรกก็แปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร โลกนี้มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย อะไรที่เราไม่เคยพบเจอกับตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง”
“เจ้าช่างเป็นสตรีที่ประหลาดนัก” เจ้าขนฟูตัวน้อยเอ่ยเช่นนั้น ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองสายฝนข้างนอกตามเดิม “ใช่แล้วล่ะ...ข้าเป็นวิญญาณที่เข้ามาอาศัยร่างของสุนัขตัวนี้อยู่”
จ้าวเมิ่งเหยียนนั่งฟังอย่างตั้งใจ
“และนามของข้าก็คือซ่งชิงเยียน”
“ซ่งชิงเยียน” จ้าวเมิ่งเหยียนทวนคำ
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตนเองกับดวงวิญญาณที่อยู่ในร่างของสุนัขตัวน้อยในเวลาจะมีชื่อที่ออกเสียงคล้ายกันมากถึงขนาดนี้
ทว่า...มีสิ่งหนึ่งที่จ้าวเมิ่งเหยียนไม่รู้
คนเรานั้นการที่โชคชะตาจะพัดมาให้มาเกี่ยวข้องกันนั้นหาใช่เพียงแค่มีชื่อเสียงคล้ายกันเท่านั้น บางครั้งเพราะมีบุญคุณความแค้นต่อกันจึงได้มาพบกัน แต่บางครั้งการได้มาพบกันของคนสองคนก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลหรือปัจจัยอื่นใดร่วมเลย
แต่สุดท้ายโชคชะตาก็พัดพาให้พวกเขามาพบกันจนได้
“และก่อนหน้านี้ข้าก็เคยเป็นถึงองค์หญิงผู้หนึ่ง”
“องค์หญิง!” คราวนี้จ้าวเมิ่งเหยียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
หากเป็นองค์หญิงอยู่ดีๆ เหตุใดจึงตายตกกลายมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนต้องมาอาศัยร่างสุนัขอยู่เช่นนั้นกันเล่า?
…เรื่องน่าแปลกประหลาดใจมันอยู่ตรงนี้เองสินะ