อุ่นเตียงที่ 1(2) ลานประหาร
ที่จริงแล้วสายตาและรอยยิ้มนั่นต่างหากที่ทำให้เขาสั่งหยุดการประหาร อะไรบางอย่างมันร้อนรุ่มอยู่ภายในใจอย่างไม่อาจหาสาเหตุ ยิ่งเห็นว่านางยิ้มให้เขาก่อนตายโดยไม่มีท่าทางหวาดหวั่นต่อคมมีด ยิ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายจนเผลอตะโกนออกไป
รอยยิ้มนั้นเหมือนรอยยิ้มตอนเจ้ากระต่ายน้อยเป็นเด็กไม่ผิดเพี้ยน หรือเพราะนังผู้หญิงสารเลวผู้นั้นเป็นฝาแฝดกับเจ้ากระต่ายน้อย นางจึงมีดวงตาและรอยยิ้มที่ถอดกันออกมาราวกับพิมพ์เดียว
เพราะมีใบหน้าเหมือนกัน รอยยิ้มเหมือนกัน และแววตาเหมือนกัน เขาจึงฆ่านางไม่ลงงั้นหรือ เช่นนั้นก็เก็บนางเอาไว้แล้วทำให้นางมีชีวิตเหมือนตายทั้งที่ยังหายใจคงเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
“งะ...งั้นหรือเจ้าคะท่านพี่”
เสียงของเฟยหงสั่นน้อยๆ พยายามเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ ดวงตาหลุบต่ำอย่างครุ่นคิดเพราะฤทธิ์ของยาพิษกลืนเสียงนั้นอาจสลายไปในวันใดวันหนึ่งขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของผู้ถูกพิษ บางคนไม่อาจต้านทานพิษจนทำให้เป็นใบ้ไปตลอดชีวิต แต่บางคนกลับมีภูมิต้านทานจนทำให้สามารถกลับมาเปล่งเสียงได้อีกครั้งก็มี
นางต้องหาทางกำจัดน้องสาวฝาแฝดโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นคนที่จะถูกวางคอพาดลงบนแท่นประหารก็คงจะเป็นนางอย่างไม่ต้องสงสัย
คิดพลางสั่นไปทั้งเนื้อทั้งตัวเพราะเสียงกรีดร้องวอนขอชีวิตของบิดายังคงดังชัดในหู แน่นอนว่าเตียวเฟยหงไม่ได้ร้องขอให้แม่ทัพหยางไว้ชีวิตบิดา เพราะหากนางทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่านางรักใคร่สนิทสนมกับบิดา นางจึงต้องปล่อยให้เขาฆ่าบิดาเพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ถูกสงสัย
อย่างไรเสียบิดาก็แก่มากแล้ว การปลดปล่อยบิดาสู่ความตายเพื่อให้เดินทางไปหามารดายังดินแดนปรโลกคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด หาใช่เพราะนางเป็นบุตรอกตัญญูแต่อย่างใด
หยางตงเฉินขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อสตรีผู้เป็นดั่งดวงใจเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ อย่างออดอ้อน แม้เขาจะมีอายุมากกว่านางถึงสี่ปี แต่เขาและนางเกี่ยวก้อยสัญญากันว่าจะเป็น ‘สหาย’ ดังนั้นเจ้ากระต่ายน้อยจึงเรียกเขาว่า ‘อาตง’ อย่างสนิทสนมหาใช่ ‘ท่านพี่’
แต่เวลาก็ล่วงเลยมากว่าสิบปีแล้ว เด็กสาวตัวน้อยในวันนั้นกลับกลายเป็นสาวสะพรั่งงดงามจับตา นางคงเขินอายที่จะเรียกเขาว่าอาตง จึงเปลี่ยนเป็นเรียกเขาว่าท่านพี่สินะ
ช่างน่ารักเสียจริง เจ้ากระต่ายน้อยของข้า
“เจ้ากระต่ายน้อยนี่ก็แดดร้อนมากแล้ว เจ้าเข้าไปพักเถอะ ร่างกายของเจ้ายังไม่สู้ดีนัก”
เตียวเฟยหงอยากจะอยู่ต่อ อยากจะรู้ว่าหยางตงเฉินจะจัดการกับน้องสาวฝาแฝดอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่กล้าดื้อรั้น จึงฉีกยิ้มกว้างออดอ้อนอย่างสตรีที่ว่านอนสอนง่าย
“เจ้าค่ะท่านพี่”
เมื่อเตียวเฟยหงเดินหายไปแล้ว แม่ทัพหยางก็สืบเท้าก้าวขึ้นไปบนแท่นประหาร ยอบกายลงก่อนจะจับปลายคางของสตรีไร้ยางอายให้เชยขึ้น
กัดข่มสันกรามเข้าหากันแน่น เมื่อคิดว่าสตรีผู้นี้คือคนที่คอยรังแก คอยทำร้าย คอยพูดจาดูหมิ่นเจ้ากระต่ายน้อยของเขามาเนิ่นนาน โกรธจนเผลอบีบที่ปลายคางอย่างแรง กระนั้นร่างเล็กที่สลบไสลกลับไม่ไหวติง
แปลก!
เหตุใดแกนกลางกายของเขาจึงมีปฏิกิริยาต่อนางแพศยาผู้นี้ ทว่ากลับไม่มีปฏิกิริยากับเจ้ากระต่ายน้อยเลย
ลูกกระเดือกกลิ้งกลอกไปมาเมื่อเขามองริมฝีปากอวบอิ่มเผยอน้อย ไล่มองลงไปยังคอเสื้อที่ขาดวิ่นจนคว้านลึกเผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มเบียดชิด ร่างกายสูงใหญ่ถึงกับรุ่มร้อนกระสันอยากในตัวสตรีนางนี้ แต่ร่างกายนี้กลับไม่รู้สึกอยากเสพสังวาสกับเจ้ากระต่ายน้อยที่เขารักและเทิดทูนไว้ในหัวใจกว่าสิบปี
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
หรือร่างกายของข้าจะอ่อนไหวกับหญิงแพศยางั้นหรือ!
“จะให้ข้าจัดการนางอย่างไรดีขอรับท่านแม่ทัพ”
“ให้นางเป็นของเล่นอุ่นเตียงของข้า พอเบื่อค่อยฆ่านางทิ้งทีหลัง”
นึกโกรธตนเองที่ตัดสินใจบ้าบิ่นหมายจะเริงสังวาสกับหญิงแพศยาต่ำช้าเช่นนี้ ทว่าความร้อนรุ่มในใจกลับเดือดปะทุ แค่คิดว่าจะได้กอดรัดสอดประสานเข้าไปในตัวนาง ร่างกายก็ยิ่งร้อนรนจนแทบบ้า
“จะให้นางพักอยู่ที่เรือนไหนดีขอรับ”
“เรือนข้า! ข้าจะได้จับตาดูการกระทำของนางทุกฝีก้าว!”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
จาหย่งค้อมกายรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย แอบนิ่วหน้าน้อยๆ ด้วยไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสอดปากสอดหูอยากรู้ไปทุกสิ่ง