บทที่๔...พ่อลูกผูกพัน (๒)
“อาซื้อของเล่นมาให้ด้วยนะ ไม่รู้ว่าต้นรักจะชอบหรือเปล่า”
“ชอบครับ!”
พอนำของเล่นออกมาจนหมดเด็กชายก็ดิ้นลงจากตักคุณปู่แล้วไปดูของเล่นด้วยความสนใจ เข้าไปเบียดคุณอาจนอชิราต้องอุ้มหลานนั่งตัก แต่สักพักก็หยิบของต่างๆ ไปนั่งเล่นเพียงลำพัง ปล่อยผู้ใหญ่ให้คุยกันไปเอง
อชิราจึงได้โอกาสสำรวจพี่สะใภ้ซึ่งนั่งเงียบไม่พูดจา หน้าตาออกแนวจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวผ่องกับรูปร่างเพรียวบาง แต่ที่ทำให้เขาชอบมากสุดคงเป็นแววตาเด็ดเดี่ยว ไม่ใช่คนที่ยอมใครจึงไม่แปลกที่เลี้ยงลูกชายโดยลำพังมาหลายปี
“นี่พี่สะใภ้ผมใช่ไหม หน้าตาจิ้มลิ้มไทป์ที่พี่ชายผมชอบเลยครับ เหมือนแฟนคนแรกที่หักอกพี่คินเลย ฮ่าๆ” คิรากรหันมองน้องชายหน้าตึง ลืมเรื่องแฟนคนแรกไปแล้วด้วยซ้ำถ้าอีกฝ่ายไม่ย้ำมาให้นึกเจ็บใจที่ถูกทิ้งเพราะเรียนไม่เก่ง
เธอเป็นเด็กเรียนเก่งที่เจอกันอยู่สถานเรียนพิเศษ หญิงสาวทำให้คนขี้เกียจอย่างเขาขยันไปเรียนช่วงค่ำเพื่อจะได้เจอหน้า หาเรื่องชวนคุยจนได้ตกลงคบเป็นแฟน คิรากรมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่กระนั้นความสัมพันธ์ก็จบลงภายในระยะเวลาแค่สามเดือน เนื่องจากผลการเรียนของเขาอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐานที่หล่อนตั้งไว้
จนเขานึกสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังหาแฟน หรือหาสุดยอดอัจฉริยะกันแน่ สุดท้ายก็กลายเป็นความรักฝังใจที่ทำให้เขากลัวความสัมพันธ์ไปพักหนึ่ง กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยได้เจอสังคมใหม่ๆ แต่การคบใครก็ไม่อาจป่าวประกาศอย่างใจต้องการ เพราะตนเริ่มมีชื่อเสียงจากการเป็นนักแสดงแล้ว
“ไอ้ชิ อยากตายใช่ไหม” นึกอยากตบปากคนพูดมาก ส่งสายตาปรามน้องแล้วก็นึกหงุดหงิดตัวเองที่เอาไประบายให้อีกฝ่ายฟังหลังจากโดนสาวบอกเลิก
“แต่พี่สะใภ้สบายใจได้ครับ แฟนคนแรกเขาแต่งงานมีลูกไปเป็นโขยงแล้ว พี่คินกลับไปหาไม่ได้ โอ๊ย พี่คิน โยนมาได้มันเจ็บนะเว้ย” คนในครอบครัวพอจะรู้เรื่องหมดแล้วจึงไม่ได้พูดอะไร ขณะที่สุทัชชาก็เงียบคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปแทรก เพราะในใจของเธอไม่ได้รู้สึกเสียใจสักนิด นอกจากสมน้ำหน้าที่คิรากรถูกทิ้ง ผู้ชายแบบนี้ใครเขาจะอยากอยู่ด้วย
หล่อนทำเพียงแค่ยิ้มในหน้าไม่ให้ดูบึ้งตึงจนเกินไป ก่อนที่หมอนใบเล็กจะถูกโยนไปที่หัวของอชิราจนรีบหันมาบ่นพี่ชายเสียงดัง
“มึงอย่าเวอร์ แค่หมอน” เบื่อกับความเล่นใหญ่ของอีกฝ่าย แล้วรีบผินหน้ามองทางอื่นไม่กล้าสบตาคนนั่งฝั่งตรงข้าม
ไม่เห็นจะเหมือนกันสักหน่อย...อชิรามั่วแล้ว!
“สองคนนี้โตป่านนี้แล้วยังทะเลาะกันต่อหน้าเด็กอีก” พอคนเป็นแม่เห็นก็นึกอายสาวทั้งสองที่มองพี่น้องทะเลาะกัน จึงรีบห้ามปรามเหตุการณ์จึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ทว่าพี่ชายไม่วายส่งสายตาดุให้คนอายุน้อยกว่า แล้วกลับมานั่งตัวตรงเชิดหน้าเล็กน้อยไม่ยอมรับกับคำครหานั้น
หล่อนไม่ใช่ไทป์ที่เขาชอบสักหน่อย ขนาดส่วนสูงก็ถือว่าต่างจากหุ่นนางแบบที่ตนชอบมากแล้ว คิรากรสะกดจิตตัวเองเช่นนั้น ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองสาวนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วหันไปทางอื่นเมื่อหล่อนสบตา
บ้าชะมัด...เล่นละครก็นางเอกสาวสวยมาก็มาก
แต่ไม่เคยเสียท่าเท่านี้มาก่อน!
“ต้นรักของอา เราออกไปเล่นข้างนอกกันดีกว่านะ ให้ผู้ใหญ่เขาคุยกันไปเนอะ อาซื้อรถขุดดินมาด้วย เอาไปขุดที่สนามหญ้าท่าจะสนุก” อชิราใช้โอกาสนี้ตีสนิทหลานชาย แค่เห็นหน้าก็รู้สึกเหมือนได้เจอกับพี่ชายวัยเด็กอีกครั้ง
ร่างสูงลุกไปอุ้มเด็กน้อยแล้วพากันไปเล่นที่สนามหญ้า คุณครองสุขมองตามสุดสายตา เหมือนว่าตอนนี้ท่านจะหลงเด็กชายคณินเป็นอย่างมาก ถึงจะเดินไม่ค่อยถนัดก็รีบลุกจากโซฟาแล้วตะโกนไล่หลัง ก่อนปลายเสียงจะเบาลงแล้วเดินตามไปสมทบกับสองหนุ่ม
“เล่นสนุกเป็นเด็ก...ทวดเล่นด้วยสิ” คนที่เหลือได้แต่ส่ายหน้าพลางอมยิ้มด้วยความเอ็นดูคนแก่ พอมีหลานก็ดูเหมือนว่าความเศร้าของท่านจะหายเป็นปลิดทิ้ง กลับมาสดใสได้อีกครั้งจนต้องขอบคุณสุทัชชาที่ยอมพาลูกชายมาอยู่ที่นี่
เกสรสบโอกาสที่ไม่มีคนสนใจแนะนำตัวกับพี่สะใภ้ของแฟน “สวัสดีค่ะ หนูชื่อน้ำนะคะ” คุณแม่ลูกหนึ่งพยักหน้าแล้วบอกชื่อตัวเองบ้าง ตั้งแต่เข้ามาในบ้านก็แทบไม่ได้พูดกับใครเพราะตัวเองของเรื่องคือลูกชายตัวแสบ
“พี่...ทรายค่ะ” สองสาวพูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนที่แม่บ้านจะเดินลงมาข้างล่างเพื่อบอกว่ากระเป๋าที่นำขึ้นไปบนห้องได้ทำการจัดเข้าตู้เรียบร้อยแล้ว คุณปรางทิพย์ทราบเช่นนั้นจึงหันมามองลูกสะใภ้ ใช้โอกาสนี้บอกให้หญิงสาวขึ้นไปสำรวจห้องพัก
“หนูทรายขึ้นไปพักหน่อยดีไหม เผื่อจะได้ตรวจดูด้วยว่าเอาของมาครบหรือเปล่า” เธอพยักหน้าทันที
อยากขึ้นไปดูห้องเพื่อจะได้จัดแจงที่นอนของลูกกับตนได้ถูก แต่ก็คงไม่ได้จัดอะไรเพราะดูท่าคุณปรางทิพย์จะจัดการให้หมดแล้ว หญิงสาวกำลังอ้าปากจะตอบตกลงกลับมีเสียงทุ้มแทรกขึ้นมาเสียก่อน จึงตวัดสายตามองเขาด้วยความไม่ชอบใจ
“ต้องเอาอะไรมาล่ะครับ เตรียมมาสูบมากกว่า...” มือบางกำเข้าหากันแน่น ถ้าไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยคงปาของใกล้มือใส่ใบหน้าคมแสนเย่อหยิ่งนั่นแล้ว ปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นห้ามใจตัวเองไม่ให้เผลอตอบกลับ
“คิน ก่อนพูดน่ะกลั่นกรองจากสมองไหม หรือในหัวมีแต่ขี้เลื่อยถึงคิดอะไรไม่เป็น” คุณปรางทิพย์ไม่อาจปล่อยให้ลูกชายดูถูกสุทัชชาได้ ท่านรีบเอ็ดเสียงเข้มแววตาจริงจัง ไม่คิดว่าคำพูดพวกนี้จะออกมาจากปากลูกชายด้วยซ้ำ จนนึกสงสารหญิงสาวข้างกายที่โดนคิรากรใช้คำพูดไม่รักษาน้ำใจสักนิด
สงสัยคงต้องเรียกมาคุยเป็นการส่วนตัวหน่อยแล้ว ท่านคงปล่อยปะละเลยบุตรชายมากเกินไปสินะถึงได้มีนิสัยเช่นนี้
“คุณแม่” เอ่ยท้วงเมื่อมารดาไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับตน แต่เมื่อเจอสายตาคมดุของท่านก็ปิดปากสนิทไม่พูดอะไรอีก ยิ่งเห็นร่างบางทำท่าเจียมตนพร้อมกับพูดเสียงเศร้าคล้ายกำลังเรียกคะแนนความสงสารก็นิ่งค้าง
นึกว่าเป็นนักร้องอย่างเดียว หล่อนเล่นละครเก่งด้วยนี่น่า
“ช่างเถอะค่ะคุณแม่ หนูชินแล้วล่ะ”
ร่างสูงลุกยืนเต็มความสูง ไม่ปล่อยให้เธอได้เล่นละครต่อหน้าคุณปรางทิพย์อีกต่อไป จึงพูดเรื่องห้องที่คาดว่าฝ่ายหญิงคงไม่ทราบ แล้วเรียกหล่อนด้วยสถานะที่ทำให้คนฟังไม่ใคร่จะชอบใจเท่าไหร่
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก...สิ่งที่ทำให้สุทัชชาตกใจคือต้องนอนห้องเดียวกับพ่อของลูกต่างหาก!
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมพาคุณภรรยาขึ้นไปดูห้องของเราดีกว่า ยังไงผมก็อยู่ห้องมาก่อนต้องรู้จักทุกซอกทุกมุมอยู่แล้ว”
“ห้องของเรา ทำไม...ยังไง...เอ่อ” รีบหันไปมองคุณผู้หญิงของบ้านภิรมย์เดชาคล้ายจะขอคำตอบที่ชัดเจน เหตุใดเธอต้องไปนอนห้องของเขา ไม่มีห้องใหม่สำหรับตนกับลูกอย่างนั้นเหรอ คำถามวนเวียนในหัวแต่พูดไม่ออก
คิรากรเห็นท่าทีของหล่อนก็ยิ่งสนุกมากกว่าเดิม เดินอ้อมไปอุ้มแม่ของลูกด้วยท่าเจ้าหญิงจนทุกคนในที่นั้นตกใจ
“อ้าว ตกใจพูดไม่เป็นภาษาเลย ใช่ครับคุณภรรยา ผม คุณและลูกของเราจะอยู่ห้องเดียวกัน ป่ะ ผมจะพาขึ้นไปชมรังรักของเราเอง” ใบหน้าคมยิ้มกริ่มแววตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ขณะที่เธอคว้าคอเขาเอาไว้แทบไม่ทันกลัวว่าตัวเองจะตก
“ว้าย”
ดาราหนุ่มพาภรรยาเดินขึ้นบนบ้าน โดยที่เจ้าหล่อนพยายามสั่งเสียงรอดไรฟันให้เขาปล่อย ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นผลสักนิด ชายหนุ่มยิ่งสนุกที่ได้แกล้งให้เธอหน้าบึ้ง กระทั่งคนทั้งสองเดินหายลับไปชั้นสอง ดาราคู่ขวัญจึงได้หันมาพูดคุยกัน
“คุณว่าจะหนูทรายจะรอดไหม” คุณจิรเมธนึกสงสารหญิงสาว ต่างจากคนรักที่แอบยิ้มอย่างรู้ทันลูกชายตัวแสบ
“ฉันว่าคนที่ไม่รอดท่าจะเป็นลูกชายของเรามากกว่า ปากบอกเกลียดแต่อุ้มเขาขึ้นห้องยิ้มตาหวานเชียว...”
คนเกลียดกันที่ไหนจะมองไม่ละสายตาขนาดนั้น รอดูต่อไปเถอะว่าลูกชายตัวดีจะรู้หัวใจตัวเองเมื่อไหร่ หวังว่าคงไม่นานจนสายเกินไปหรอกนะ