บทที่๔...พ่อลูกผูกพัน (๓)
คนถูกอุ้มพยายามโวยวายให้เขาปล่อย หากจะดิ้นลงเองก็กลัวตกแล้วบาดเจ็บร่างกาย ดูท่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ หล่อนเลือกประท้วงเสียงแข็งพลางจ้องเขาตาวาว แทบจะบีบลำคอแกร่งอยู่แล้วแต่เขาก็เลือกจะใช้อุ้มเธอแม้ทำให้เปิดประตูลำบากก็ตาม
ไม่รู้คุณปรางทิพย์คิดอะไรจึงให้เราสองคนนอนห้องเดียวกัน สงสัยคงต้องไปคุยกับท่านใหม่อีกรอบแล้ว อย่างไรหล่อนก็ไม่ยอมนอนห้องเดียวกับเขาเป็นอันขาด เหมือนชีวิตไม่ปลอดภัยสักนิด แค่มองดวงหน้าหล่อเหลากับแววตาคมที่มองมาคล้ายชวนทะเลาะตลอดเวลาก็เหมือนไมเกรนจะขึ้น
แล้วเราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร...
“ปล่อย ปล่อยฉันนะ คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไงจะอุ้มฉันทำไม” เธอพยายามโวยวายเสียงดังขณะถูกนำเข้ามาในห้องนอนที่มีรูปของเขาโชว์หรา บ่งบอกว่าเจ้าของห้องแห่งนี้เป็นใคร ก็ยิ่งสร้างความหวาดกลัวแก่หญิงสาวมากกว่าเดิม แต่ใบหน้าหวานยังคงนิ่งไม่แสดงปฏิกิริยาให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
ไม่อยากเป็นคนพ่ายแพ้ต่อหน้าคิรากร ต้องไร้ความรู้สึกเพื่อเอาชนะเขาเท่านั้น
“คิดว่าฉันอยากอุ้มมากหรือไง” พูดจบก็โยนร่างแบบบางลงบนเตียงนุ่ม จนเธอเด้งตัวตามเบาะสปริง พยายามจะลุกจากเตียงเพื่อหนีออกไปข้างนอก ก็ถูกคว้าเอวแล้วกดสุทัชชาลงที่เดิม ก่อนขึ้นคร่อมทับโดยใช้มือเพียงข้างเดียวจับข้อมือเล็กเอาไว้ ทว่าคงบีบแรงเกินไปใบหน้าหวานจึงเหยเก
สถานการณ์ค่อนข้างล่อแหลมพอสมควร หล่อนตกเป็นเบี้ยล่างอีกครั้งจนนึกหงุดหงิดที่ดูเหมือนจะต่อกรกับเขาไม่ได้ พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแต่ขาแกร่งก็ทับช่วงล่างเอาไว้จนกระดิกตัวลำบาก สิ่งที่ทำได้คงมีแค่การขยับปาก แล้วไม่รู้ว่าจะทำให้รอดพ้นหรือเปล่า
“คุณจะทำอะไรนะ! ถอย...ออกไปนะ บอกว่าให้ออกไปไง” ถึงใบหน้าจะนิ่งแต่แววตาสั่นไหว เขายกยิ้มสมใจที่ทำให้เธอหวาดกลัวได้ นึกสนุกที่ได้แกล้งอีกฝ่ายแต่พอยิ่งเข้าใกล้จนได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยเหมือนห้าปีก่อน...
หัวใจของคิรากรกลับเต้นแรงจนเจ้าตัวต้องรีบสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกประหลาดออกไป เธอคิดจะมาปอกลอกเขาโดยใช้ลูกเป็นข้ออ้าง
ห้ามหวั่นไหวกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด!
“ไหนๆ เราก็ต้องอยู่ในฐานะพ่อแม่แล้ว แม่ของฉันก็ย้ำว่าเธอคือภรรยา...งั้นเรามาทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ดีหรือเปล่า เริ่มจากอะไรดีนะ...ทวนความจำเมื่อห้าปีก่อน จำได้หรือเปล่าว่าคืนนั้นเธอร้อนแรงมากแค่ไหน เร่งฉันจนขยับแทบไม่ทัน...”
แสยะยิ้มร้ายกาจเมื่อพูดถึงเรื่องที่ผ่านมานานแต่มันกลับตราตรึงในความทรงจำจนยากลืมเลือน สุทัชชาเม้มปากแน่นพยายามดิ้นให้หลุด อยากตบปากคนที่อยู่เหนือร่างเหลือเกิน ยิ่งเห็นแววตาคมซึ่งเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยก็โกรธมากกว่าเดิม กัดฟันแน่นข่มอารมณ์เอาไว้ พยายามบอกถึงความจริงว่าเรื่องคราวนั้นไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ
“คืนนั้นฉันโดนวางยาต่างหาก! ไม่อย่างนั้นแม้แต่ขาอ่อนฉันก็ไม่มีทางที่คุณจะได้เห็น!” คนฟังไม่ได้สะท้านสักนิด เสียดายที่วันนี้หล่อนแต่งตัวมิดชิด ไม่อย่างนั้นคงได้หยอกเล็กน้อยให้คนอวดดีครางไม่เป็นศัพท์
ทว่าถอดเสื้อผ้าให้หล่อนตอนนี้...ก็คงไม่ยากเท่าไหร่
แค่กางเกงยีนส์เข้ารูปกับเสื้อเชิ้ต ใช้เวลาปลดกระดุมไม่นานก็เสร็จแล้ว คิดอย่างหยามใจแล้วใช้มือเพียงข้างเดียวเริ่มปลดกระดุมเสื้อของเธอ เล่นเอาร่างบางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจเต้นระส่ำพยายามดิ้นให้หลุดพ้นอีกครั้ง
“แต่ฉันทั้งเห็น ทั้งจับ...ทั้งเลียไปแล้ว”
“ไอ้บ้า! ปล่อย บอกให้ปล่อยไง” ตะโกนเสียงดังเป็นการบังคับแต่เขาก็ไม่ได้คิดจะทำตาม กระดุมเม็ดแรกถูกปลดออกตามด้วยเม็ดที่สอง ทว่ายังไม่ทันปลดจนหมดก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง ขัดอารมณ์จนคิรากรต้องเหลียวมองแววตาแข็งกร้าว
เกือบหลุดปากด่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะคนข้างนอกส่งเสียงมาเสียก่อน คล้ายกับเสียงสวรรค์ทำให้หล่อนยิ้มออกมาได้ ต่างจากเจ้าของห้องที่สุดแสนจะเสียดาย เนื้อหวานที่อยากลิ้มลองดันหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“หนูทราย สำรวจห้องแล้วเป็นยังไงบ้างชอบไหม ตาคินมาเปิดประตูให้แม่หน่อย คิน!”
เสียงร้องตะโกนด้านนอกทำให้เขานึกเสียดายช่วงเวลาที่จะได้แกล้งคนใต้ร่าง แต่ถ้ายังปล่อยให้ท่านเคาะประตูอยู่แบบนี้ต่อไปเกรงว่าคนที่ได้รับผลกระทบจะเป็นตนมากกว่า จำต้องปล่อยสุทัชชาให้เป็นอิสระแล้วตอบรับเสียงเบื่อหน่าย
“ครับ ไปแล้วครับ” ลงจากเตียงปล่อยให้คนตัวเล็กรีบตะครุบเสื้อแล้วกลัดกระดุมอย่างเร่งรีบ ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกที่รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา ไม่คิดว่าเหยียบบ้านภิรมย์เดชาได้ไม่ถึงชั่วโมง จะถูกรังแกอย่างง่ายดาย
ดูท่าการมาอยู่ที่นี่จะไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่ คิดได้ดังนั้นจึงรีบวิ่งแทรกออกไปยืนข้างคุณปรางทิพย์ด้วยใบหน้าตื่น หัวใจเต้นรัวขณะที่กอดแขนของคนอายุมากกว่าเอาไว้คล้ายหาที่พึ่ง เล่นเอาคิรากรกลายเป็นคนร้ายไปในทันที
“คุณแม่” เรียกท่านเสียงเบาจนคุณผู้หญิงของบ้านเหลียวมามองด้วยความเป็นห่วง สำรวจร่างบางพบว่ายังคงปกติไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใดก็ค่อยเบาใจ แต่พอเหลือบมองลูกชายตัวเองกลับเห็นแววตากรุ่มกริ่มไม่น่าไว้ใจ
หรือตนจะคิดผิดเรื่องให้คนทั้งสองอยู่ห้องเดียวกัน...
ไม่หรอก ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ อย่างไรก็ไม่ได้อยู่กันแค่สองคนยังมีลูกชายนอนด้วย คงพอช่วยหญิงสาวได้บ้าง
เพราะดูท่าแล้วพ่อกับลูกไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่
“อะไรลูก ตัวสั่นเป็นลูกนกเชียว” จับสังเกตได้ก็ถามด้วยความเป็นห่วง แต่เธอไม่อาจบอกความจริงกับท่านว่าเกือบโดนทำมิดีมิร้าย นอกจากอ้อนวอนขอเปลี่ยนห้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายที่คิดแต่เรื่องรังแกกัน
ขนาดมีคนอยู่เต็มบ้านเขายังแสดงออกอย่างไม่เกรงกลัว แล้วหากวันหนึ่งอยู่กันสองคนหล่อนจะไม่แย่หรือ
“หนูขอไปอยู่ห้องอื่นได้ไหมคะ หนูว่าห้องนี้ไม่น่าจะสะดวกเท่าไหร่ กลัวรบกวนคุณคิน...” แต่พูดไม่ทันจบก็ถูกท่านแทรก พร้อมบอกให้เปลี่ยนวิธีเรียกเขา ซึ่งคนฟังถึงกับขนลุกไม่มีความคิดจะเรียกผู้ชายตรงหน้าว่าพี่เลยสักครั้ง
“พี่คิน...ต่อจากนี้เรียกว่าพี่คินนะลูก เรียกคุณแล้วฟังดูห่างเหินยังไงไม่รู้” คิรากรยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินเช่นนั้น เหมือนว่ามารดาจะไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเขาในตอนแรก แต่ตอนนี้ความคิดของดารารูปหล่อได้เปลี่ยนไปสิ้นเชิง
ถือว่าท่านช่วยตนได้มากทีเดียว ทั้งเรื่องนอนห้องเดียวกัน ไหนจะเรื่องให้เรียกว่าพี่อีก...ซึ่งแน่นอนว่าคิรากรได้อยากยิน จนเผลอจ้องใบหน้าหวานไม่วางตา เห็นหล่อนแทบจะร้องไห้ก่อนขอร้องตาแป๋วหวังให้ท่านเห็นใจ
“ทราย...ต้องเรียกเขาว่าพี่จริงๆ เหรอคะ”
“ใช่ เรียกพี่สิครับน้องทราย” พยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ แต่กลับโดนมารดาผลักศีรษะหนาออกห่างแล้วจ้องตาดุ พอจะปรามพ่อลูกชายตัวดีได้บ้าง เท้าหนักจึงถอยหลังสองสามก้าวขณะที่สายตาก็ยังไม่ห่างจากร่างบาง เหมือนหล่อนเป็นจุดดึงดูดสายตาของเขาไปโดยปริยาย
ปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ไม่ยินยอมจะเรียกคนตรงหน้าว่าพี่ จึงเลี่ยงการโต้กลับแล้วหันมาอ้อนคุณปรางทิพย์เพื่อขอย้ายห้อง
“ทรายขอย้ายห้องได้ไหมคะ” ร่างหนาคิดจะขัดเพราะกลัวว่ามารดาอาจตามใจหล่อนยอมให้ย้าย แต่ไม่คาดคิดกับคำตอบที่ได้ทำเอาเขายิ้มกริ่ม
“ไม่ได้จ้ะ แม่อยากให้ต้นรักกับคินสนิทสนมกัน อย่างน้อยให้นอนห้องเดียวกันก็ยังดี...แต่ถ้าให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันแม่กลัวว่าจะตีกันจนไม่ได้นอน หนูทรายอยู่ด้วยน่าจะคอยห้ามได้” พอฟังเหตุผลของท่านก็ไม่สามารถแย้งอะไรได้ ปากจิ้มลิ้มเผยอค้างอยู่อย่างนั้นคล้ายจะค้านแต่ก็เงียบเสียง เหลือบมองดวงหน้าคมที่ยิ้มกว้างอย่างคนมีความสุขก็นึกหงุดหงิด
“ตกลงตามนี้นะจ๊ะ”
“ค่ะ” สุดท้ายก็ตกปากรับคำ
คิดไม่ออกเลยว่าจะสามารถอยู่ห้องเดียวกับเขาได้อย่างไร แต่ก็พออุ่นใจยังมีลูกชายที่คอยกันอีกฝ่ายเอาไว้ได้ อีกอย่างพ่อลูกจะได้สนิทสนมกันมากขึ้น เพราะดูจากตอนนี้คล้ายจะมีเรื่องกันตลอดเวลายามพบหน้า
“ถ้างั้นเราเข้าไป...” หมายจะก้าวไปจับมือบางเพื่อให้เข้าห้องด้วยกันอีกครั้ง แต่คราวนี้คุณปรางทิพย์ไม่อาจปล่อยผ่านได้ จึงปัดมือลูกชายแล้วชวนหญิงสาวลงไปข้างล่าง ไม่เปิดโอกาสให้สะใภ้ถูกรังแกอีกต่อไป
“แม่จะพาหนูทรายลงไปกินข้าว เราจะดูห้องก็ดูไปเถอะ”
“อ้าว...” เผยอปากค้างเมื่อเห็นมารดาจับจูงมือลูกสาวคนใหม่ลงไปข้างล่าง ปล่อยเขายืนนิ่งค้างอยู่หน้าห้องเพียงลำพัง พอจะเดินตามลงไปก็มีสายเรียกเข้าจากผู้จัดการที่บ่นนักแสดงในการดูแลตลอดเรื่องเขาขอพักงานแสดง เพราะตอนนี้กำลังเป็นช่วงรุ่งโรจน์อยากให้รีบกอบโกย
ทว่าคิรากรไม่สนใจ...เพราะที่ผ่านมาเขาทำทุกอย่างเต็มที่หมดแล้ว
ถึงเวลาที่จะพักบ้างแม้กระแสนิยมอาจจะลดลงก็ไม่คิดกังวล ใช่ว่าตนมีอาชีพแค่เป็นนักแสดงอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ เขาลงทุนหุ้นและเข้าร่วมหุ้นทำกิจการร้านอาหารกับเพื่อนเข้าปีที่สาม ธุรกิจเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เติบโตก้าวกระโดดจนได้ผลกำไรมากกว่าเล่นละครหนึ่งเรื่องต่อปีอีก
ที่เขายังอยู่ในวงการเพราะยังหลงรักการแสดง ไม่อย่างนั้นคงออกมาเป็นนักธุรกิจนานแล้ว
“ฮัลโหลพี่แดน มีอะไรหรือเปล่า...”
เดินเข้าห้องอีกครั้งเพื่อคุยกับผู้จัดการ ซึ่งกินเวลาค่อนข้างนานเมื่อถูกเกลี่ยกล่อมให้รับละครที่ช่องอยากให้เขาช่วยดันนางเอกใหม่ แต่คิรากรก็ยังยืนกรานคำเดิมว่าต้องการพักผ่อน
ไม่รับงานแสดงที่กินเวลานาน รับเพียงงานที่ใช้เวลาน้อยไม่กระทบกับงานอื่นของเขามากเกินไป
คุยกันเรียบร้อยโดยสุดท้ายผู้จัดการก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของนักแสดงหนุ่ม ค่อยเดินลงมาข้างล่างแล้วเลี้ยวเข้ามายังห้องอาหารที่ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันรับประทานข้าวเช้าเป็นครั้งแรก คุณครองสุขนั่งหัวโต๊ะ ฝั่งซ้ายมีบิดากับมารดานั่งข้างกัน พร้อมทั้งน้องชายและแฟนสาว
ขณะที่ฝั่งขวาก็มีเด็กชายคณินและสุทัชชานั่งประจำที่ เหลือเก้าอี้ว่างตัวสุดท้ายให้เขา คิรากรจึงเดินไปนั่งลงข้างหล่อน โดยที่ไม่มีใครสนใจดาราหนุ่มสักนิดเพราะกำลังคุยกันถูกคอ
“ตกลงตามนี้แหละครับ ผมจะได้ปั้นพี่ทรายให้ดังแบบปังๆ ไปเลย รับรองว่าหกสิบล้านคนในประเทศไทยจะไม่มีใครไม่รู้จักพี่” เขาเลื่อนเก้าอี้ก่อนจะนั่งลง เห็นอชิราคุยกับภรรยาของตนอย่างถูกคอก็ไม่ค่อยชอบใจ
ยิ่งหล่อนยิ้มแย้มมีความสุขตอนคุยกับคนอื่น ขณะที่ยามคุยกับเขาหน้าบึ้งตึงก็ชวนหงุดหงิดเหลือเกิน
“อะไร คุยอะไรกัน”
“ผมจีบเมียพี่ไปเป็นนักร้องหญิงคนแรกที่ผมปั้น” ใบหน้าที่บึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มกริ่มเมื่อน้องชายเอ่ยถึงสถานะของเรา เขาพยักหน้ารับทราบเรื่องก่อนถามต่อคล้ายจะหยอกเย้าคนข้างกายไปในตัว เล่นเอาหล่อนหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย
“อ้อ เหรอ เมียฉันว่ายังไงล่ะ ตอบตกลงไปหรือเปล่า”
“แน่นอนสิครับ มาซ้อมที่สตูดิโอของผมได้เลยนะ ทีมของผมพร้อมดูแล” นักร้องคนดังเริ่มสนุกที่จะปั้นพี่สะใภ้ให้กลับมามีชื่อเสียง ความคิดพรั่งพรูเป็นอย่างมากจนเกสรต้องสะกิดให้เขากินข้าวไม่ใช่เอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว
“แม่จะให้พะยอมไปส่งที่สตูฯ...” คุณปรางทิพย์หวังดีจะให้คนรถที่บ้านไปรับส่ง ทว่าหล่อนนึกเกรงใจกลัวใครบางคนหาว่ามาปอกลอกจึงเลือกปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ทรายขับรถไปเองสะดวกกว่า วันนี้ทรายว่าจะนั่งแท็กซี่กลับไปเอารถของตัวเองที่บ้านน่ะค่ะ”
อย่างไรหล่อนก็มีรถและสามารถขับไปกลับเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร คุณผู้หญิงของบ้านไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่แสดงน้ำใจเล็กน้อย เพื่อให้คนทั้งสองได้กระชับความสัมพันธ์เผื่อจะแน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าเดิม
“จะนั่งแท็กซี่ทำไมล่ะ ให้พี่คินพาไปสิ วันนี้ว่างใช่ไหม” นึกแสลงหูเหลือเกินตอนได้ยินคำว่าพี่คิน แล้วเขาดันตอบรับ
“ครับ ผมว่าง เดี๋ยวจะพาเมียกลับไปเอาของ โอ๊ย!” สุทัชชานึกเกลียดคำว่าเมียที่ออกมาจากปากเขา จึงแอบหยิกสีข้างคนข้างกายไม่ยั้งแรง ร่างหนาแทบจะลุกมาเต้นระบำทุกสายตาจึงจดจ้องด้วยความสนใจ หล่อนทำหน้านิ่งคล้ายไม่รู้เรื่อง
“มด! มดครับ”
ลูบสีข้างตัวเองแล้วส่งสายตาพิฆาตให้เธอ ซึ่งหญิงสาวไม่ได้สนใจสักนิด กลับตักอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ลูกชายก็ถอนหายใจพลางโน้มกายไปพูดกับคุณทวดให้ได้ยินกันสองคน
“พ่อชอบโวยวายจังเลยคุณทวด ผมน่ะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยโวยวาย...อ๊า! ร้อนอ่ะ” คุณครองสุขป้อนต้มจืดเข้าปากเล็กแต่ลืมเป่า หนูน้อยจึงร้อยขึ้นพลางอ้าปากกว้างแล้วยกมือขึ้นโบก คุณทวดรีบดูแลหลานแล้วพูดเสียงเบา
“เหมือนกันอย่างกับแกะ”
พ่อลูกไม่ต่างกันเลยสักนิด สายใยผูกพันจริงๆ