บทที่๓...เริ่มต้นคำว่าครอบครัว (๓)
หล่อนใช้เวลาในการเก็บของเพื่อเตรียมพาลูกมายังบ้านภิรมย์เดชา ยอมบอกความจริงกับต้นรักเรื่องบิดาแม้เด็กน้อยจะไม่ค่อยเชื่อก็ตาม ของที่นำมามีไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะไม่อยากทิ้งร้างบ้านเอาไว้ คงหมั่นมาดูแลความสะอาดเสมอ
ส่วนรถยนต์ก็จอดไว้ที่บ้านเพราะคุณปรางทิพย์ส่งรถตู้มารับตนและบุตรชายตั้งแต่รุ่งสาง ตลอดการเดินทางทำให้หนูน้อยที่ไม่เคยได้นั่งรถคันใหญ่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หันมาชวนคุยไม่หยุดกระทั่งรถเลี้ยงเข้าเขตรั้วบ้าน เห็นต้นไม้ใหญ่ปลูกสองข้างทาง ถนนจากหน้ารั้วบ้านสู่ตัวบ้านค่อนข้างยาวพอสมควร ถ้าให้เดินก็คงเหนื่อย
“โห! บ้านใหม่ของเราใหญ่จังเลยแม่ บ้านเราจริงเหรอ ผมจะได้อยู่บ้านหลังนี้จริงๆ ใช่ไหม” เด็กน้อยตื่นเต้นยกใหญ่ หันมาถามเสียงสดใสซึ่งหล่อนไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจากลูกชาย เพราะส่วนมากก็ไม่ค่อยได้พาออกไปเที่ยวเท่าไหร่
อาการของต้นรักทำให้คนเป็นแม่ยิ้มออกมา เธอไม่รู้ว่าการเข้ามาอยู่ที่นี่เป็นการตัดสินใจที่ดีสำหรับตนหรือเปล่า แต่อย่างน้อยลูกชายก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น มีคนรักเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้มีหล่อนเป็นเพียงโลกทั้งใบเหมือนที่ผ่านมา
“ใช่ เราจะอยู่บ้านหลังนี้”
“มีสนามหญ้า...มีสระว่ายน้ำด้วย! แม่ๆๆ มีสระว่ายน้ำ ผมว่ายได้หรือเปล่า ผมไปเล่นได้ไหม น้ำตก! มีน้ำตกด้วยแหละแม่” ผ่านสนามหน้าบ้านที่มีน้ำพุรูปปลาสองตัวพ่นน้ำสร้างความตื่นตาตื่นใจพอสมควร ก่อนจะเห็นว่ามีสระว่ายน้ำข้างบ้าน ทั้งยังมีสวนน้ำตกซึ่งเป็นลานพักผ่อนหย่อนใจของคุณครองสุข
หัวใจของเด็กชายเต้นรัวด้วยความดีใจ แทบจะถลาลงไปวิ่งรอบบ้านเมื่อรถหยุด แต่ก็ถูกมารดาย้ำเรื่องบ้านอีกรอบ กลัวว่าบุตรชายจะไม่เข้าใจพาลทำให้ใครบางคนมองหล่อนเป็นเหมือนริ้นไรที่มาเกาะเขากิน
“ต้นรัก...ฟังแม่นะ บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของแม่แต่เป็นของ...พ่อต้นรัก” ถึงไม่อยากบอกว่าใครเป็นพ่อแต่วันหนึ่งก็คงต้องบอกอยู่ดี มาอยู่บ้านเขาขนาดนี้จะปิดบังความจริงไว้ได้อย่างไร เธอมองหน้ามุขที่ครอบครัวภิรมย์เดชามายืนรออย่างพร้อมหน้าพร้อมตาก็นึกตื่นเต้น
ไม่นึกว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับที่ดี...จากคนแปลกหน้า
“ของพ่อเหรอ...ลุงยักษ์เป็นพ่อผมจริงเหรอแม่ เราไม่เห็นจะหน้าเหมือนกันเลย ลุงยักษ์หน้าบึ้งส่วนผมหน้าหล่อ” มองออกนอกกระจกก็เห็นคนหน้าบึ้งยืนล้วงกระเป๋ากางเกง ทำหน้าเคร่งอย่างที่ตนไม่ชอบจึงระบายให้คนที่สนิทใจฟัง หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็อดขำไม่ได้แต่พยายามตีหน้านิ่ง
อย่างไรคิรากรก็เป็นพ่อ คงไม่ดีถ้าลูกจะพูดจาปีนเกลียว...แต่แล้วอย่างไรล่ะ
ผู้ชายแบบนั้นเป็นพ่อคนได้หรือไง โดนลูกถอนหงอกสักครั้งก็คงจะดีเหมือนกันนั่นแหละ
“หึหึ เอาไว้ไปพูดต่อหน้าเขาแล้วกัน”
คนรถรีบลงมาเปิดประตูให้สองแม่ลูก หล่อนจึงปลดเข็มขัดนิรภัยจากคาร์ซีท ปล่อยเด็กน้อยให้วิ่งไปหาบรรดาญาติๆ ที่มารอต้อนรับหน้าชื่นตาบาน ขณะที่เธอเดินตามไปสมทบ เผลอสบตากับพ่อของลูกแวบหนึ่งก่อนผินหน้าหนี
ไม่อยากมองเลยสักนิด สายตาของเขาที่จ้องมาราวกับจะกินเลือกกินเนื้อ คงคิดว่าหล่อนจะมาปอกลอกสินะ
ดีเหมือนกัน มรดกอะไรที่เป็นชื่อของเขา เธอจะกล่อมให้คุณปรางทิพย์โอนมาเป็นชื่อคณินให้หมดเลย คนแบบนั้นไม่ต้องมีสมบัติติดตัวหรอก
“หลานย่า มาหาย่าสิลูก” พอพบคนที่ไม่คุ้นเคยก็เลือกจะยืนนิ่ง เงยหน้ามองมารดาพลางส่งสายตาเหมือนต้องการขอความช่วยเหลือ คุณปรางทิพย์เห็นอย่างนั้นจึงรีบลงจากบันไดแล้วอ้าแขนเพื่อเป็นการเรียกให้หลานเข้าไปใกล้ พอเห็นความใจดีและรอยยิ้มของคุณยายในวันนั้นที่กลายมาเป็นคุณย่าในวันนี้
เด็กชายก็เดินเข้าไปหาแล้วยอมให้กอดแต่โดยดี คุณปรางทิพย์ยิ้มกว้างแล้วหอมแก้มนุ่มของหลานตัวน้อยซ้ายขวา ท่านอุตส่าห์ไม่แต่งหน้าเพื่อจะได้หอมต้นรักได้ถนัด กลัวว่าหากประโคมเครื่องสำอางจะโดนเด็กชายงอแงไม่ยอมให้หอม
“สวัสดีครับ” ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้หนูน้อยยิ้มแก้มปริ เอ่ยทักทายคุณย่าเสียงอ่อน เมื่อท่านยอมปล่อยให้เป็นอิสระก็เงยมองผู้ชายสามคนที่ส่งยิ้มให้ตน...ยกเว้นเสียแต่คนเป็นพ่อ
“หน้าเหมือนเจ้าคินจริงด้วย มาให้ทวดกอดหน่อยสิ...ชื่อต้นรักใช่ไหมเราน่ะ” คนที่ดูมีอายุมากสุดเอ่ยกับเหลนตัวน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกวักมือเรียก คณินจึงเดินขึ้นบันไดไปให้คุณทวดกอดด้วยความเต็มใจ
“ครับผม”
น่าแปลกที่อ้อมกอดของทุกคนทำให้เด็กชายรู้สึกอบอุ่นได้อย่างน่าประหลาด ทุกคนต้อนรับการมาของเด็กชายด้วยรอยยิ้ม เว้นเพียงคนเดียวที่ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบรับ เหลือบมองเพียงหางตาก่อนจะสบตากันระหว่างคิรากรกับคณิน
สองพ่อลูกที่จ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร หากดวงตาสามารถจุดติดไฟได้คงมีประกายเพลิงแล้ว
คุณปรางทิพย์แอบยิ้มขำ ขนาดไม่ได้เลี้ยงกันมาแต่อ้อนแต่ออกยังเหมือนกันทั้งหน้าตานิสัย นึกน้อยใจแทนคนเป็นแม่เสียแล้วที่ลูกชายได้พ่อเกือบจะหมด
“แต่ผมหน้าไม่เหมือนเขานะ ผมหล่อกว่าตั้งเยอะ” เชิดหน้าขึ้นแล้วหันไปมองทางอื่น ไม่ยอมเรียกชายหนุ่มว่าพ่ออีกต่างหาก แล้วมีหรือที่คนนิ่งเงียบมาตลอดจะยอม ดาราหน้าหล่อจึงรีบค้านเสียงแข็งถึงหน้าตาของเราสองคน
“เหอะ! หล่อตรงไหน จมูกก็ไม่มี ปากก็ใหญ่ตายังเล็กอีกต่างหาก หน้าไม่เหมือนฉันสักนิด” ถึงจะพูดเช่นนั้นก็อดยอมรับความจริงไม่ได้ว่าเด็กตรงหน้าเหมือนเขาทุกกระเบียดนิ้ว ถ้าเอารูปของคณินกับเขาตอนเด็กมาวางเทียบกัน
ใครเห็นก็ต้องนึกว่าเป็นคนเดียวกัน...
“ลุงนั่นแหละไม่เหมือนผม!” เถียงเสียงดังขึ้นมาทันที พอสองพ่อลูกคุยกันก็ไม่สนใจคนรอบข้าง หนูน้อยที่ยิ้มเก่งกลายเป็นหน้าบึ้งตึง ขณะที่คิรากรก็ไม่ยอมแพ้ เถียงกลับคอเป็นเอ็นไม่คิดจะยอมลงให้คนอายุน้อยกว่า
“นายนั่นแหละไม่เหมือนฉัน”
คุณจิรเมธที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองได้แต่ถอนหายใจ แล้วหันไปเอ็ดบุตรชายเสียงเข้ม เข้าข้างหลานรักที่เพิ่งได้พบหน้ากันครั้งแรกเต็มที่
“คิน! อย่าว่าหลานพ่อ...หลานปู่หล่อที่สุด ดูสิหน้าเหมือนปู่อย่างกับแกะ” ก้มลงมาอุ้มต้นรักแล้วชื่นชมไม่ขาดปาก อายุแค่สี่ขวบยังหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ โตขึ้นจะต้องเป็นพระเอกดังอย่างแน่นอน เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ
“ใช่ครับ คุณปู่หล่อ” พอได้พวกก็รีบกอดคอท่านแล้วอ้อนอย่างรวดเร็ว หนูน้อยได้รับความรักจากคนในบ้านภิรมย์เดชาอย่างรวดเร็ว คุณทวดลูบหลังเหลนตัวน้อยด้วยความดีใจเพราะอยากมีเลี้ยงเด็กมานานแล้ว
คิรากรเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นหมาหัวเน่า พึมพำล้อเลียนลูกชายเสียงเบาแล้วจ้องไปยังร่างบางซึ่งยิ้มกว้างกับภาพที่เห็น เขาจึงไม่วายจะแขวะหล่อนให้สุทัชชานึกอยากตบปากคนที่ปล่อยสุนัขในปากออกมาเพ่นพ่านอีกครั้ง
“ใช่ครับ คุณปู่หล่อ...อยู่เป็นเหมือนกันนิ สงสัยแม่จะสอนให้รู้จักประจบแต่เด็ก” พูดให้หญิงสาวได้ยินแต่ทุกคนในที่นั้นกลับได้ยินกันหมด คุณปรางทิพย์จากที่ยิ้มหน้าบานกลับหุบยิ้มทันที เดินเข้ามาหยิกบุตรชายเต็มแรงจนเขาเกือบร้องโอดครวญแต่ถูกท่านถลึงตาใส่ห้ามร้อง จึงเม้มปากแน่นไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไป
รู้สึกอายเป็นอย่างยิ่งที่โดนทำโทษต่อหน้าลูกชาย ซึ่งส่งยิ้มคล้ายกำลังเยาะเย้ยให้เขา จึงต้องจ้องกลับตาเขม็งอย่างไม่ยอมกัน
“คิน ถ้ายังไม่หยุดพูดแม่จะไล่ออกไปอยู่ข้างนอกแล้วนะ” บอกเสียงเข้มให้รู้ว่าทำตามที่พูดจริง คิรากรจึงต้องสงบปากสงบคำแล้วลูบสีข้างปอยๆ ให้ความเจ็บคลายลงบ้าง พอสุทัชชากับคณินเข้ามาในบ้าน ความสำคัญของเขาก็ลดลง
“ต้นรัก...นี่พ่อของหนูนะลูก ต่อจากนี้ให้เรียกคุณพ่อไม่ใช่ลุง...หนูจะมีครอบครัวเพิ่มขึ้นทั้งคุณพ่อ คุณทวด คุณปู่ คุณย่า” หันมาบอกหลานชายที่ยังไม่ยอมเรียกคิรากรว่าพ่อสักที แต่เมื่อคุณย่าเป็นฝ่ายเอ่ยปาก หนูน้อยก็จำต้องพยักหน้ารับคำ
“ครับ”
สองพ่อลูกสบตากันแล้วหันไปคนละทาง ขณะที่สุทัชชานิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ การที่เธอได้มาบ้านนี้ก็เพราะเป็นแม่ของหลานพวกท่านเท่านั้น หากไม่มีคณินก็คงไม่มีวันได้เข้ามาเหยียบบ้านหลังงามเช่นนี้หรอก
จึงย้ำเตือนตัวเองให้เจียมตัวเอาไว้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงต้องออกจากบ้านหลังนี้...
“เข้าบ้านกันดีกว่าลูก...ผึ้ง เอากระเป๋าคุณๆ ขึ้นไปเก็บบนห้องด้วยนะ” คุณปู่รีบอุ้มหลานเข้าบ้านทันที ขณะที่คุณครองสุขก็เดินตามอย่างรวดเร็ว คุณผู้หญิงของบ้านจึงหันไปสั่งแม่บ้านที่คอยท่าจะบริการให้นำกระเป๋าทั้งหมดขึ้นไปข้างบน หล่อนเห็นอย่างนั้นก็นึกเกรงใจจึงขอทำเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ ทรายเก็บเองดีกว่า”
“ไม่ค่ะคุณทราย ผึ้งไปเก็บให้เอง” แม่บ้านรีบยกกระเป๋าเข้าบ้านไม่ยอมให้เจ้านายคนใหม่ได้ทำ คุณปรางทิพย์เห็นอย่างนั้นก็พยักหน้าชวนร่างบางเข้าบ้าน
“เข้าบ้านเถอะลูก” ท่านเดินนำเข้าไปก่อน ทำให้คิราสบโอกาสเดินมาหยุดเคียงข้างหล่อน กระซิบพอให้ได้ยินกันแค่สองคน กลัวว่ามารดาจะได้ยินแล้วตนอาจโดนบิดจนเนื้อเขียว
“นี่ ฉันไม่ได้เต็มใจให้เธอกับเด็กนั่นเข้ามาอยู่ในบ้านหรอกนะ แต่เพราะคุณแม่บังคับฉันเลยต้องจำใจยอม ถ้าคิดจะจับฉันก็ให้รู้ไว้ด้วยว่าสำหรับฉัน...เธอก็แค่ของเล่นราคาถูกที่ฉันได้มาฟรีๆ เป็นผู้หญิงที่ฉันไม่เคยคิดจะยกย่องออกหน้าออกตา”
คว้าแขนเรียวเอาไว้ไม่ให้เธอเดินตามมารดาเข้าไปด้านใน พูดในหูหล่อนก่อนจะปล่อยร่างบางเป็นอิสระ มุมปากหยักยกยิ้มสมใจแล้วค่อยเดินเข้าบ้านเมื่อเห็นว่าสุทัชชายืนตัวแข็งทื่อ หล่อนพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ยกมือขึ้นตบใบหน้าคม ให้สมกับความปากเสียของเขา
“ทนไว้ทราย ทนเอาไว้...เพื่อลูก เพื่อลูก”
ถ้าสบโอกาสเมื่อไหร่ สาบานเลยว่าหล่อนจะตบหน้าเขาให้หันจนสุนัขในปากหลุดร่วงออกมาจนหมด!