บทที่๓...เริ่มต้นคำว่าครอบครัว (๒)
“แล้วคิน...ไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่” ประมุขของบ้านสับสนไปหมด หลานชายก็อยู่บ้านตลอดไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ไม่มีแฟนมาหลายปีจนท่านรบเร้าอยากให้คิรากรมีความรัก กลับเอาแต่ปฏิเสธบอกอยู่คนเดียวมีความสุขมากกว่า
แล้วทำไมวันนี้สะใภ้จึงมาบอกว่าหลานชายมีภรรยาและลูก...
“เรื่องนี้คงต้องให้เจ้าตัวเล่าเองมั้งคะคุณพ่อ” โยนให้ร่างสูงเป็นฝ่ายเล่าเรื่องทั้งหมด ซึ่งเขาก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน
ถึงเด็กคนนั้นกับเขาจะหน้าคล้ายกัน...ก็จะเป็นต้องมีสายเลือดเดียวกันสักหน่อย
หรือคุณปรางทิพย์อาจจะอยากมีหลานมากเกินไป จนทึกทักว่าลูกของคนอื่นเป็นหลานตัวเองไปเสียหมด
“คุณแม่ครับ ผมว่าคุณแม่กำลังเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ถึงเด็กคนนั้นจะหน้าตาเหมือนผมก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นลูกผมเสมอไปนะครับ บางที...บางทีก็อาจจะแค่หน้าคล้าย...” ยังคงไม่ยอมรับจนคุณปรางทิพย์จำต้องหยิบเอกสารสำคัญออกจากกระเป๋า ท่านรู้ดีว่าบุตรชายคงปากแข็งหากไม่มีหลักฐาน พอกันกับสุทัชชาที่ค้านหัวชนฝา
คนที่เตรียมพร้อมมาตลอดหนึ่งเดือนยิ้มเต็มปาก หัวใจพองโตตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าตัวเองมีหลาน แต่ก็รู้สึกผิดต่อหญิงสาวซึ่งเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด ชีวิตในวงการบันเทิงต้องจบลงอย่างน่าเสียดายทั้งที่ความสามารถเต็มเปี่ยม
การรับสุทัชชากับเด็กชาคณินมาอยู่ที่นี่นอกจากจะชดเชยเวลาที่เสียไป ยังอยากผลักดันความฝันของแม่เด็กให้ไปถึงฝั่ง เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อสิ่งที่บุตรชายของตนได้กระทำเอาไว้ แต่ไม่รู้คนที่ทำจะคิดได้หรือเปล่า ดูจากหน้าตายังค่อนข้างช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เลย
“แม่เลยมีหลักฐาน ที่มัดตัวคนร้ายจนดิ้นไม่หลุดไงจ๊ะ”
ซองสีน้ำตาลขนาดเอสี่ถูกหยิบขึ้นมาเพื่อไม่ให้คิรากรปฏิเสธได้อีก และดูท่าเจ้าตัวจะอึ้งจนพูดไม่ออก ท่านจึงต้องขยายความสักหน่อยให้ทุกอย่างกระจ่าง
“แม่เอาเส้นผมของเด็กคนนั้นกับลูกไปตรวจเรียบร้อย พบว่ามีความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกัน...แล้วอย่างนี้จะบอกว่าแม่เข้าใจผิดไหมพ่อลูกชายตัวดี” ร่างสูงคว้าเอกสารแผ่นนั้นมาเปิดด้วยมือสั่นเทา จำได้ว่าคืนนั้นสวมถุงยางอนามัยแต่เพราะไม่ได้จบแค่รอบเดียวแต่อุปกรณ์ดันมีแค่ชิ้นเดียว อารมณ์ติดแล้วจึงไม่อยากเดินทางให้เสียเวลา
เขาเรียกร้องจากเธอโดยไม่สวมเครื่องป้องกัน สุดท้ายผลที่ตามมาคือเด็กซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของเรา...
ดวงตาคมไล่อ่านทุกตัวอักษรไม่ให้ตกหล่น พอแน่ชัดแล้วว่าคือเอกสารจริงและผลการพิสูจน์ก็เป็นไปตามที่มารดาพูดเอาไว้ทุกประการ
เขากับเด็กชายคณิน อิ่มเอมฤดีเป็นพ่อลูกกัน
ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าหล่อนท้องเมื่อห้าปีก่อนแล้วเลี้ยงลูกตามลำพัง ไม่มาทวงถามหรือทวงสิทธิ์จากเขาเลยสักนิด แต่แล้วกลับโผล่มาเหมือนรอจังหวะเวลา หรือเรื่องทั้งหมดเป็นแผนของหล่อนที่อยากใช้ลูกมาเพื่อมาขอส่วนแบ่งทรัพย์สมบัติ
“พ่อขอดูหน่อย” แย่งผลการตรวจจากมือลูกชายมาอ่านให้ละเอียด แล้วค่อยส่งให้คุณครองสุขได้ดูเช่นเดียวกัน บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ก่อนที่คุณจิรเมธจะถามอย่างเป็นการเป็นงาน สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักในชีวิตจริง
“ยังไงคิน เล่ามาให้พ่อฟังสิว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
คราวนี้ความกัดดันก็มาทับถมบนบ่าแกร่ง มือสองข้างกุมกันไว้ที่หน้าตักไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน ตัดสินใจเล่าให้ท่านฟังในส่วนที่พอจะเล่าได้ ค่อนข้างเขินอายที่ต้องมาเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนในครอบครัวฟัง
“เมื่อห้าปีก่อน...ผมคิดว่าเธอคือคนที่ผมซื้อบริการก็เลยเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย” เล่าย้อนถึงเรื่องคืนนั้นที่เกิดจากความสะเพร่าของเขาเอง ไม่ดูให้แน่ชัดว่าใช่คนที่นัดกันหรือเปล่า พอเครื่องติดและอารมณ์พาไปก็หลงใหลเกินกว่าจะหยุดกลางคันได้แล้ว
คิรากรเลือกจะตัดจบคำพูดแค่นั้นและดูเหมือนว่าทุกคนจะทราบเรื่องต่อจากนั้นเป็นอย่างดีว่าเกิดอะไรขึ้น คุณจิรเมธทำหน้าเคร่งไม่ชอบในการกระทำของบุตรชาย ถ้าอายุน้อยมากกว่านี้ยังพอเข้าใจว่าคึกคะนองตามวัย แต่เพราะรู้ว่าเรื่องเกิดเมื่อห้าปีก่อน ซึ่งตอนนั้นดาราหนุ่มก็โตพอจะคิดได้แล้ว
ทว่าเหมือนตนจะตั้งความหวังกับลูกชายไว้สูงเกินไป ตอนนั้นอายุยี่สิบห้าก็ใช่ว่าความคิดอ่านจะโตตามอายุเสียเมื่อไหร่
“ทำไมไม่ป้องกัน รู้ใช่ไหมว่าตัวเองเป็นคนดังมีคนจับจ้อง ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง แล้วผู้หญิงเขาต้องเลี้ยงลูกมาตั้งห้าปี” ท้ายประโยคยิ่งรู้สึกสะเทือนใจจนต้องรีบกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เกือบยกมือตีบุตรชายที่นั่งทำหน้าสำนึกผิดแล้ว
ท่านถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่รู้จะพูดอะไร สงสารสุทัชชาจับใจเมื่อทราบเรื่องทั้งหมดแม้จะไม่เห็นหน้าหญิงสาวก็ตาม เธออยู่ในเงามืดและปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้อย่างไร ถ้าเอาไปบอกนักข่าวคงได้เงินมากโข คิดแล้วก็เริ่มอยากเห็นหน้าลูกสะใภ้กับหลานชายจนแทบทนรอพรุ่งนี้ไม่ไหว
“ผม...ผมขอโทษครับ” ยกมือไหว้อย่างสำนึกผิด ไม่มีใครเข้าข้างชายหนุ่มแม้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม
“คนที่คินต้องขอโทษไม่ใช่พวกเรา เป็นผู้หญิงที่ลูกไปทำร้ายเขาต่างหาก” คนเป็นพ่อรีบบอกเพื่อให้เขาทำความเข้าใจใหม่ ซึ่งร่างสูงก็พยักหน้าแล้วนั่งก้มหน้าสำนึกผิดอยู่อย่างนั้น แต่ไม่นานก็ต้องเงยหน้าด้วยความตกใจกับประโยคของมารดา
“แม่จะให้หนูทรายกับต้นรักมาอยู่ที่บ้านเรา หลานของแม่ต้องมีครอบครัวและคินก็ควรเป็นผู้นำ...โตแล้วนะไม่ใช่เด็ก รับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไปด้วย”
“แต่คุณแม่ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นสักหน่อย”
“แล้วยังไง...ไม่ได้ตั้งใจแต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว ลูกต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา ดีแค่ไหนแล้วที่ผู้หญิงเขาไม่แฉตั้งแต่วันที่ตั้งท้อง”
โดนกดดันด้วยสายตาขนาดนี้เขาจึงต้องยอมรับเป็นหัวหน้าครอบครัว เหมือนบ่าที่เคยเบาจะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่ยังรู้สึกได้ถึงปัญหาที่จะตามมา คิรากรยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนรักเด็ก และดูท่าว่าลูกชายของเขาจะแสบไม่ใช่เล่น
คิดถึงวันที่ได้ต่อปากต่อคำกันก็ต้องกุมขมับ ใครจะรับผิดชอบเด็กคนนั้นได้กันล่ะ...
ส่วนหญิงสาวที่ตบหน้าเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในรอบห้าปีก็ดูจะเป็นคนหัวแข็งพอกัน สองแม่ลูกคงไม่อยู่ในโอวาทของตนอย่างแน่นอน
“ครับๆ ผมยอมรับผิดแล้วก็ยินดีจะรับผิดชอบเอง” สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป คุณปรางทิพย์เห็นอย่างนั้นก็พยักหน้าพลางอมยิ้มด้วยความพึงพอใจในคำตอบนั้น ท่านจ้องหน้าบุตรชายพลางสั่งเสียงเข้ม
“ดี พรุ่งนี้หนูทรายกับต้นรักจะเข้าบ้าน ห้ามแสดงอาการให้เห็นเด็ดขาดว่าไม่พอใจ”
“ครับ”
ขนาดยังไม่มาแต่ก็เอาใจกันยกใหญ่ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าสองแม่ลูกเข้ามาอยู่ที่บ้านจะถูกประคบประหงมมากแค่ไหน ดาราหนุ่มทำหน้านิ่งติดบึ้งตึงแสดงอาการไม่ค่อยพอใจกับคำสั่งเท่าไหร่ ก่อนที่คุณจิรเมธจะถามถึงที่หลับที่นอนของสมาชิกใหม่
“แล้วจะให้สองคนนั้นนอนห้องไหน”
“ลูกก็ต้องอยู่กับพ่อสิคะ คุณจะให้ไปนอนไหนล่ะ” ชี้ไปยังคนที่กำลังจะเป็นหัวหน้าครอบครัว คราวนี้เขาถึงกับผุดลุกยืนแล้วชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ไม่อยากเชื่อหูว่าห้องนอนที่ใช้มาตั้งแต่เด็กจะต้องถูกแบ่งให้ผู้อื่นนอนด้วย
“คุณแม่จะให้เด็กนั่นมานอนห้องผมเหรอครับ”
“ไม่ใช่แค่เด็ก...แม่หมายถึงภรรยาของลูกด้วย”
ร่างหนาทรุดลงที่เดิมพร้อมถอนหายใจเสียงหนัก รู้ว่าถ้ามารดาเป็นคนพูดตนก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านเนื่องจากความผิดยังติดตัว สิ่งที่ทำได้คือยอมรับไปก่อน
คล้ายว่าเตียงกว้างของเขา...มันกำลังจะแคบลงแล้ว