บทที่๒...ต้อนรับสะใภ้และหลานชาย (๓)
“ไม่ล่ะครับ ผมยังสนุกกับชีวิตตอนนี้ ไม่อยากหาห่วงมาผูกคอตัวเอง มีแฟนก็มีแต่ปัญหาไม่รู้จบรู้สิ้น สู้อยู่คนเดียวก็ไม่ได้” เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางหลับตาลง ไม่คิดจะหาใครมาเป็นแฟนเพราะอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ลำบากอะไร
แต่ดูเหมือนว่าคนในครอบครัวจะไม่คิดเช่นนั้น โดยเฉพาะคุณปรางทิพย์ที่อยากให้ลูกชายคนโตมีคนรู้ใจสักที
“จ้ะ”
ท่านตอบรับความคิดนั้นแล้วเงียบไป นึกถึงหน้าของเด็กชายคณินก็แอบคาดหวังเพียงลำพัง ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนคิดทีเถอะ
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นในช่วงสายของวัน ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนที่สุทัชชาเลือกจะเร้นกายอยู่ในบ้านไม่ออกงานที่ต้องข้องเกี่ยวกับนักแสดงหนุ่ม กลัวอยู่ทุกวันว่าเขาจะมาทวงสิทธิ์ความเป็นพ่อ กระทั่งบางคืนยังฝันถึงจนสะดุ้งตื่นกลางดึก คว้าตัวบุตรชายมากอดไว้อย่างหวงแหน
ชีวิตนี้เหลือเพียงต้นรักเป็นครอบครัวคนเดียว เธอจึงไม่คิดจะแบ่งลูกชายให้ใคร ถึงคนผู้นั้นจะเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดเด็กชายก็ตาม
สุทัชชารีบวางไม้กวาดแล้วถอดผ้ากันเปื้อนออก ไม่ได้ทำความสะอาดบ้านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ วันนี้จึงทำทุกอย่างไม่ได้พักตั้งแต่ช่วงเช้าหลังส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลใกล้บ้านเสร็จ และต้องรีบไปรับในช่วงบ่าย
โชคดีที่บุตรชายของตนเข้ากับเพื่อนได้ดี ไม่เคยงอแงเลยสักครั้งยามต้องไปเรียน ตื่นเช้าก็แต่งตัวไปเรียนไม่ต้องให้ขู่เข็ญ กลับมาบ้านก็เล่าฟุ้งถึงความเก่งกาจของตัวเองที่คุณครูชื่นชม รอยยิ้มของหล่อนเกิดจากลูกชายทั้งนั้น
แล้วจะให้คนอื่นมาพรากไปได้อย่างไร...
“มาแล้วค่ะ” เดินออกมาจากบ้านชั้นเดียวที่อาศัยมาแต่เด็ก
ที่ดินผืนนี้เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นปู่ย่า กลายเป็นเรือนหอของบุพการีที่ตอนนี้จากหล่อนไปยังโลกอีกใบ ทิ้งสุทัชชาไว้เพียงลำพัง ยิ่งช่วงที่มารดาจากไปด้วยโรคร้ายประจวบเหมาะกับช่วงที่วงของเธอตกต่ำ ก่อนที่ท่านจะจากไปในเวลาต่อมา
ถึงจะเศร้าเสียใจแค่ไหนกับการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รักก็ต้องทำงานต่อไป หล่อนจึงเลือกทำงานหนักให้ลืมความเสียใจ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครมองเห็นตน...จนต้องล้มเลิกความฝันทั้งหมด
นักร้องผู้ถ่ายทอดบทเพลงอันไพเราะให้ผู้คนได้ฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองลงในดนตรี หล่อนทิ้งความฝันที่จะโด่งดังไปแล้ว
เหลือเพียงคนที่ต้องร้องเพลงเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้องเท่านั้น
“เอ่อ...คุณปรางทิพย์” เปิดประตูรั้วเพื่อต้อนรับแขกที่นานทีปีหนจะมีสักคน แล้วพอหล่อนเห็นว่าเป็นใครถึงกับยิ้มไม่ออก ทักทายท่านเสียงเบาพร้อมหัวใจที่หล่นไปอยู่ตาตุ่ม ไม่มีเหตุผลใดเลยที่คนระดับนั้นจะมาหาถึงหน้าบ้าน
หากไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ...
หรือท่านทราบความจริงเรื่องของคณินแล้ว...ไม่หรอก
เธอปิดเป็นความลับมาตั้งนานอีกฝ่ายจะทราบได้อย่างไร พยายามปลอบใจตัวเองแล้วทำใจดีสู้เสือ ส่งยิ้มให้แขกตามมารยาทที่เจ้าบ้านควรกระทำ
“ฉันขอเข้าไปคุยข้างในบ้านได้หรือเปล่า ถ้ายืนอยู่หน้าบ้านเกรงว่าจะมีคนมาเห็นเข้าน่ะจ้ะ” ไม่มีท่าทีคุกคามสักนิด ทั้งยังยิ้มให้เธออย่างผู้ใหญ่ใจดีซึ่งทำให้หล่อนลดกำแพงในใจลงอย่างรวดเร็ว บางทีท่านอาจจะไม่ได้มาร้ายก็ได้
“เชิญค่ะ เชิญเลย”
จำเป็นต้องผายมือเพื่อเชิญให้คุณปรางทิพย์เข้ามาในบ้าน ขนาดของบ้านหล่อนไม่ได้กว้างมากนัก พื้นที่ทั้งหมดรวมตัวบ้านและลานข้างนอกก็มีเพียงสามร้อยตารางเมตรเท่านั้น ซึ่งส่วนมากลูกชายชอบจะนั่งเล่นดินทรายอยู่ลานหน้าบ้าน ตัวเปรอะเปื้อนตลอดจนต้องอาบน้ำให้วันล่ะสามเวลาเสียด้วยซ้ำ
เข้ามาในบ้านที่จัดมุมอย่างเป็นระเบียบ โชคดีที่หล่อนทำความสะอาดเสร็จพอดีจึงไม่ต้องอายแขกกับความสกปรกก่อนหน้า เจ้าของบ้านรีบตรงเข้าห้องครัวเพื่อนำน้ำมาเสิร์ฟ จากนั้นจึงนั่งลงที่โซฟาเล็กเยื้องกัน ขณะที่สายตาของคนอายุมากกว่าก็สำรวจไปรอบตัวบ้าน
“น้ำค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ...ฉันมารบกวนเวลาของหนูหรือเปล่า” รับน้ำมาจิบพอให้คลายกระหายแล้ววางลงที่เดิม น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างผู้ใหญ่ใจดี จึงทำให้หล่อนลดความเกร็งลงมาได้บ้าง แต่ก็นึกสงสัยว่าท่านมาหาถึงบ้านมีธุระอะไร
ที่สำคัญ...ทราบได้อย่างไรว่าบ้านเธออยู่ที่นี่
แต่คำถามนั่นก็จางหายไปเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เงินบันดาลได้ทุกอย่างนั่นแหละ...
“เปล่าค่ะ ช่วงกลางวันทรายไม่ค่อยรับงาน ส่วนมากจะรับงานช่วงกลางคืนมากกว่า...เป็นงานร้องเพลงค่ะ” รีบขยายความกลัวว่าท่านจะเข้าใจผิดถึงงานของตน
คุณปรางทิพย์พยักหน้าเข้าใจในทันที ประวัติของสุทัชชาพอทราบโดยคร่าวจากการที่ให้บริษัทนักสืบติดตามหญิงสาวเกือบหนึ่งเดือน รู้ว่าคนตรงหน้ามุ่งมั่นในการทำงาน ไม่ออกนอกลู่นอกทางและมีบุตรชายเป็นที่พึ่งทางใจ
คุณสมบัติเหมาะสม...ที่จะเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่ของบ้านภิรมย์เดชาตามความต้องการของท่าน
“ต้นรักไปไหนล่ะ” มองรอบบ้านก็ไม่เห็นเด็กน้อย ความจริงพอจะทราบว่าเด็กชายคณินไปไหน เพียงแค่ถามเพื่อให้แน่ใจก็เท่านั้น เพราะต่อจากนี้จะเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพูดกับแม่ของเด็ก
“ไปโรงเรียนค่ะ ทรายให้ลูกเรียนเตรียมอนุบาลที่เนอสเซอรี่ใกล้บ้าน”
แล้วความเงียบก็โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ มือบางกุมไว้บนหน้าตักแววตาเต็มไปด้วยความกังวล การข้องเกี่ยวกับคนรอบตัวของคิรากรไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก หล่อนคิดไม่ออกเลยว่านอกจากเรื่องของเด็กชายคณินแล้ว
เรามีเรื่องใดให้ต้องพูดคุยกันอีก
คุณปรางทิพย์เงียบไปสักพักเพื่อเกริ่นเข้าใจความสำคัญ พอจะมองออกว่าหญิงตรงหน้าตกอยู่ในอาการวิตกกังวล
“งั้นฉันขอเข้าเรื่องเลยได้ไหม วันนั้นที่เจอกันงานแซยิดคุณอมราฉันก็สงสัยในหน้าตาของต้นรักกับตาคินมาตลอด จนคิดไปว่าทั้งสองเหมือนกันอย่างกับพ่อลูก” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกเจ้าของบ้านขัดจังหวะ ปฏิเสธเสียงแข็งลืมตัวเสียสนิท
เพียงแค่เป็นเรื่องของลูกชาย ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาหมายจะพรากเด็กชายไปจากหล่อน บุคคลนั้นก็กลายเป็นศัตรูทันที อย่างเช่นตอนนี้ที่เธอมองคนอายุมากกว่าตาแข็ง แทบจะลุกเดินไปเปิดประตูบ้านแล้วเชิญท่านออกจากที่นี่
“ไม่ใช่ค่ะ! ต้นรักเป็นลูกของทรายค่ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณคิรากร”
“ฟังฉันพูดให้จบก่อนสิจ๊ะ...ฉันสงสัยและต้องการความกระจ่าง เลยตัดสินใจหาความจริงบางอย่าง...ลองเปิดอ่านเอกสารดูสิจ๊ะ” นักแสดงในตำนานพยายามกล่อมคนที่อารมณ์ร้อน เห็นว่าใบหน้าของสุทัชชาแดงก่ำคงจะโกรธเป็นเพราะโกรธจัด
ถ้าคุยกันด้วยคำพูดอย่างเดียวคงไม่ยอมรับ จึงเลือกจะหยิบเอกสารที่รอมานานออกมาวางตรงหน้า ท่านถือวิสาสะจัดการเรื่องทุกอย่าง ใช้เส้นสายของตนให้คนในโรงพยาบาลช่วยตรวจดีเอ็นเอเพราะทนความอยากรู้ไม่ไหว
นักร้องสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ค่อยเอื้อมไปหยิบเอกสารฉบับนั้นมาเปิดอ่าน พบว่าเป็นผลการตรวจดีเอ็นเอของลูกชายตนและคิรากร ไม่ต้องอ่านก็รู้ว่าบทสรุปเป็นเช่นไร มือไม้อ่อนจนปล่อยเอกสารร่วงลงบนพื้น ดวงตากลมสั่นไหวพร้อมน้ำสีใสที่เอ่อคลอเบ้าแทบจะล้น
“นี่ นี่มัน...”
ท่านหยิบเอกสารกลับมาถือไว้เหมือนเดิม จากนั้นก็รีบกล่อมให้คนที่กำลังใจเสียได้รู้ถึงเจตนาของตัวเอง “ฉันขอถือวิสาสะตรวจดีเอ็นเอของต้นรัก แล้วก็พบว่าหนูน้อยที่ฉันเอ็นดูตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเป็นหลานในสายเลือดของฉันเอง” แย้มยิ้มมีความสุขเมื่อคิดถึงความจริงว่าตนมีหลานชาย
ต่างจากร่างบางที่กำลังส่ายหน้าไม่ยอมรับความจริง ความกลัวเกาะกินใจจนไม่อาจทำอย่างอื่นได้ สมองตื้อไปชั่วขณะแล้วจ้องมองคุณปรางทิพย์ที่กำลังยิ้มกว้าง ขณะที่หล่อนปล่อยน้ำตาให้ไหลเปื้อนแก้มนวล
“ไม่ ไม่...”
“หนูคงจะไม่ปฏิเสธใช่ไหม ถ้าฉันจะขอ...” ท่านกำลังจะเข้าเรื่องสำคัญ ทว่าเจ้าของบ้านกลับทรุดกายคุกเข่าบนพื้นต่อหน้าท่าน ก่อนยกมือไหว้เป็นการวิงวอน น้ำตาไหลพรากขณะที่พูดเสียงสั่นด้วยความกลัวสุดหัวใจ ละทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างขอเพียงแค่ลูกยังอยู่กับตน
“ได้โปรดอย่าเอาต้นรักไปเลยนะคะ ทั้ง ทั้งชีวิตของทรายมีแค่ลูก มีแค่ต้นรักคนเดียว อย่าเอาแกไปเลยนะคะ ทรายสัญญาว่าจะไม่พาลูกไปให้พวกคุณเห็นหน้า จะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวให้คุณคิรากรเสื่อมเสียชื่อเสียงและจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่บอกใคร จะไม่บอกใครสักคนเลยค่ะ” อ้อนวอนเสียงสั่นพร้อมพนมมือไว้กลางอก คุณปรางทิพย์เห็นอย่างนั้นก็รีบดึงแขนหล่อนให้มานั่งข้างกัน
“แต่อย่าเอาต้นรักไปเลยนะคะ อย่าเอาแกไปจากหนูได้ไหมคะคุณปรางทิพย์” คนอ่อนแรงยินยอมทำทุกอย่าง นั่งลงข้างท่านแต่ก็ยังยกมือพนมอยู่เช่นนั้น ขอร้องอย่างหมดหนทาง เพียงแค่คิดว่าต้องห่างลูกใจคนเป็นแม่ก็แทบแตกเป็นเสี่ยง
คนอายุมากกว่าถอนหายใจกับอาการเจ้าน้ำตาแต่ท่านก็เข้าใจสุทัชชาเป็นอย่างดี เลี้ยงดูฟูมฟักมาแต่อ้อนแต่ออก จะยกให้คนอื่นโดยง่ายได้อย่างไร และตนก็ไม่มีเจตนาพรากแม่ลูกออกจากกัน
“ฟังฉันพูดก่อนสิอย่าเพิ่งตีโพยตีพาย ที่ฉันมาวันนี้ก็เพราะอยากรับหนูและต้นรักไปอยู่ด้วยกัน...ในฐานะลูกสะใภ้และหลานชายของบ้านภิรมย์เดชา ไม่ได้ต้องการแยกหนูออกจากลูก แต่อยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นให้ต่างหาก” คราวนี้คนเจ้าน้ำตาถึงชะงัก มือที่ยกค้างค่อยวางลงข้างลำตัว
กลัวว่าตัวเองจะหูฝาด...คุณปรางทิพย์จะให้หล่อนไปอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ
แล้วในฐานะสะใภ้ของบ้าน!
“คะ...”
“หนูชื่อเล่นว่าอะไรจ๊ะ”
“ทรายค่ะ”
“หนูทราย...มาเล่นลูกสาวของแม่นะจ๊ะ” รอยยิ้มของท่านเต็มไปด้วยความเอ็นดู ไหนจะแววตาจริงใจจนหล่อนไม่อาจเอื้อนเอ่ยปฏิเสธได้ในทันที อีกทั้งยังสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนต้องเอ่ยถามอีกรอบ
“แต่ แต่ว่าทรายกับคุณคิรากรไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ ถ้าทรายเข้าไปอยู่ในบ้านก็อาจจะทำให้เขามีข่าวเสียหาย...” คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าต้องพ่อของลูกทุกวันจะเป็นอย่างไร เพราะพบกันไม่กี่นาทีที่งานเลี้ยงของคุณอมราก็ทำให้เธอฝันร้ายอยู่หลายคืน
ถ้าต้องไปอยู่บ้านหลังนั้นแล้วโดนเขาพูดจาดูถูกเหยียดหยามจะเป็นอย่างไร...
แต่ที่มั่นใจคือตนไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียวแน่ เขาร้ายมาเท่าไหร่หล่อนก็จะทำกลับไปเท่านั้น
“ตาคินมีส่วนต้องรับผิดชอบเรื่องลูก ที่สำคัญลูกเองก็ต้องการพ่อเหมือนกัน...แม่รู้ว่าหนูทรายเป็นคนเก่ง เลี้ยงลูกตัวคนเดียวมาได้นานขนาดนี้แม่เองยังทำไม่ได้เลย แต่ตอนนี้หนูมีแม่ให้พึ่งแล้วนะ ไม่ต้องเข้มแข็งมากก็ได้”
ท่านคว้ามือบางมากุมเอาไว้ ก่อนจะซับร่องรอยของน้ำตาให้สุทัชชา คล้ายกับรู้ว่าบนบ่าเล็กแบกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เพียงลำพังมานานหลายปี และเพียงแค่หล่อนได้ยินท่านเอ่ยแทนตัวด้วยคำว่าแม่ น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง เรียกคุณปรางทิพย์เสียงสั่นเครือ
“แม่...”
“ใช่จ้ะ ต่อจากนี้ให้แม่เป็นแม่อีกคนของหนูนะลูก” สบตาท่านเหมือนเห็นมารดาของตนซ้อนอยู่ในนั้น ร่างบางถูกรวมเข้ามากอดด้วยความอ่อนโยน พร้อมชวนร่างบางให้มาเป็นคนในครอบครัวภิรมย์เดชา ท่านใช้ความอ่อนแอทำให้หล่อนยอมจำนน
“ค่ะ”
แล้วคำตอบก็เป็นไปตามความต้องการของคุณผู้หญิงบ้านภิรมย์เดชา
ตอนนี้ท่านได้ลูกสะใภ้และหลานชายตามที่ตัวเองต้องการ...