บทที่๒...ต้อนรับสะใภ้และหลานชาย (๒)
“คินอยู่นี่เอง แม่ตามหาซะทั่วงานเลย คุยกับเพื่อนอยู่เหรอลูก” เสียงของมารดาทำให้เขายอมปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระหลังจากจ้องตากันอย่างไม่ยอมแพ้อยู่พักหนึ่ง หล่อนรีบจับมือตัวเองแล้วนวดเบาๆ เพื่อให้คลายเจ็บ จดจ้องเขาไม่วางสายตาอย่างกินเลือดกินเนื้อ ไม่ปิดบังสักนิดว่าเกลียดมากแค่ไหน
คุณปรางทิพย์หันมายิ้มให้สาวน้อยที่ท่านจำได้ว่าร้องเพลงอยู่บนเวทีเมื่อครู่ ค่อยก้มมองเด็กชายที่ยืนเกาะติดคนเป็นแม่แล้วจ้องท่านตาแป๋ว คนอายุเยอะถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนผินหน้ามองบุตรชายที่ตอบคำถามอย่างเสียไม่ได้
“ครับคุณแม่ คนเคยรู้จักน่ะครับ” คำจำกัดความสัมพันธ์ของพวกเราน่าจะเป็นเช่นนั้น
สานสัมพันธ์เพียงคืนเดียวแล้วแยกย้าย หลงเหลือเอาไว้เพียงความทรงจำที่ไม่มีใครลืมเลือน คล้ายจะถูกให้สลักลึกลงในใจอย่างน่าหงุดหงิด
“สวัสดีค่ะ” การจะเดินออกไปก็ดูจะไร้มารยาทเกินไป ร่างบางจึงเลือกยกมือไหว้อดีตนักแสดงดังที่กลายเป็นบุคคลในตำนาน แววตาของท่านอ่อนโยนผิดจากลูกชายลิบลับ ถูกเก็บมาเลี้ยงหรืออย่างไรทำไมนิสัยของแม่ลูกต่างกันราวฟ้ากับเหว
คิดอยู่ในใจแล้วค่อยก้มมองลูกชายที่กระตุกชายเสื้อของหล่อน จึงได้พยักหน้าบอกเป็นนัยให้เด็กชายไหว้คนอายุมากกว่า
คณินเจอทั้งพ่อและย่า...แต่หล่อนก็ไม่อาจบอกความจริงกับลูกได้
“สวัสดีครับคุณยาย” ยกมือไหว้ตามคำสอนของมารดา กระพริบตาปริบมองท่านที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่คุณปรางทิพย์จะย่อกายลงมาลูบศีรษะน้อง นึกเอ็นดูเด็กชายตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปมองคิรากรตัวน้อย
“หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เหมือนลูกชายยายตอนเด็กเลย...หนูชื่ออะไรจ๊ะ” ย่อกายลงมาให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
สุทัชชาหัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก อยากอุ้มลูกชายออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแต่กลัวว่าจะยิ่งสร้างพิรุธ จึงยืนนิ่งกำมือแน่น ลมหายใจสะท้านขณะมองเด็กน้อยกำลังแนะนำตัวด้วยวาจาฉะฉานตามที่คุณครูบอก
“ชื่อต้นรักครับ ชื่อจริงเด็กชายคณิน อิ่มเอมฤดีครับ นี่แม่ของผมครับ ชื่อ...” และก่อนที่ลูกชายจะได้บอกชื่อของตน ร่างบางก็ไม่รอช้ารีบจับจูงมือเล็กก่อนค้อมศีรษะเป็นการบอกลาคนอายุมากกว่า ใบหน้าหวานซีดแทบไร้สีเลือด กังวลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนกับการพบหน้ากันครั้งนี้
สำหรับชายหนุ่มคงไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนดูท่าจะเริ่มสงสัยแล้ว ความกลัวเกาะกินจนสาวผู้เก็บความลับมาได้ตลอดห้าปี เกรงว่าความจริงจะเปิดเผยในเร็ววันแล้วตนอาจถูกพรากลูกห่างอก
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงหล่อนไม่มีทางยอมแน่!
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีฉันมีธุระที่อื่นต้องรีบกลับ สวัสดีค่ะ” แทบจะอุ้มลูกชายออกไป ถ้าไม่ติดที่ผมของลูกชายดันติดกับกระดุมแขนเสื้อของคุณปรางทิพย์ จนหนูน้อยหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ จากที่คิดจะเดินตามมารดาก็ต้องหยุดยืนนิ่ง
“อุ้ย ผมของหนูติดเสื้อยาย เดี๋ยวยายแกะให้นะ” บอกเสียงนุ่มแล้วค่อยแกะเส้นผมของเด็กชายคณินออกอย่างเบามือ ปิดท้ายด้วยการยิ้มให้หนูน้อยที่มองอย่างไรก็เหมือนลูกชายตัวเองตอนเด็ก จนเริ่มสงสัยในบางสิ่งเพราะท่าทีของสองหนุ่มสาวยามมองกัน
ไม่เหมือนคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผินสักนิด อาจจะสนิทสนมมากกว่านั้นโดยที่ท่านไม่ทราบก็เป็นไปได้
“ขอบคุณครับ ผมไปก่อนนะครับสวัสดีครับคุณยาย”
สองแม่ลูกรีบเดินจากไป ร่างหนาจึงออกมาจากหลังเวทีเพราะไม่มีเหตุให้ต้องอยู่ต่อ ขณะที่คุณปรางทิพย์มองสองแม่ลูกจนสุดสายตา ค่อยหยัดกายลุกยืนตรง พร้อมยกยิ้มที่มุมปากแล้วมองเส้นผมสีดำที่อยู่ในมือของตน
มีเรื่องบางอย่างให้จัดการแล้ว...
“คุณแม่ไปพูดดีกับเธอทำไม รู้ไหมว่าเมื่อกี้เธอตบผมซะหน้าหัน ดูสิครับเป็นรอยมือหรือเปล่าก็ไม่รู้ มือหนักชะมัดเลยเป็นอดีตนักวอลเลย์บอลหรือไง” หนุ่มหล่อก้าวเท้าสั้นลงเพื่อให้มารดาตามทัน จากนั้นจึงพูดกับท่านเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน สีหน้าบึ้งตึงไม่ต้อนรับแขกจนคนที่คิดจะเข้ามาทักต้องล่าถอย
คิรากรพยายามยกมือขึ้นจับแก้มเพราะกลัวว่าใบหน้าจะมีรอยมือ ไม่ใช่เรื่องที่ดีนักหากมีคนทราบว่าเขาถูกผู้หญิงตบ
“เราไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะถึงถูกตบ ปากตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะดี แม่บอกหลายรอบแล้วใช่ไหมให้คิดก่อนพูดเยอะๆ พ่นออกมาแต่ละอย่าง...ถูกแม่หนูคนนั้นตบก็ถือว่าเรียกสติให้เราแทนแม่ล่ะกัน” พอถูกว่ากล่าวจากมารดาก็เกือบทำตัวเป็นลูกชายแสนงอนต่อหน้าธารกำนัล ยังดีที่สำรวมตัวได้ทันก่อนถามท่านกลับคล้ายต้องการให้คุณปรางทิพย์เข้าข้างตัวเอง
“คุณแม่ ผมลูกคุณแม่นะครับ”
“จ้ะ รู้ว่าลูก เพราะเป็นลูกเนี่ยแหละแม่เลยต้องคอยตบคอยเตือนบ้าง ก่อนจะเอาใจตัวเองมากกว่านี้” ลูกชายคนโตเลี้ยงยากกว่าคนเล็กเสียอีก อายุเข้าเลขสามแล้วยังทำตัวไม่รู้จักโตจนนึกระอาใจ ไม่ใช่ว่าตนตามใจคิรากรมากไปหรือเปล่า ผลลัพธ์จึงกลายเป็นแบบนี้
ดาราหนุ่มคร้านจะเถียง อีกทั้งหมดอารมณ์สนุก งานเริ่มไปได้ไม่เท่าไหร่ก็อยากกลับบ้าน หมดความรื่นเริงตั้งแต่ถูกตบ เขาคงไม่สามารถนั่งกุมหน้าได้ตลอดทั้งงานหรอก
“กลับหรือยังครับ ผมไม่มีอารมณ์จะเข้าไปร่วมงานแล้ว”
“กลับดีกว่า แม่ก็หมดสนุกแล้วเหมือนกัน...เพราะมีเรื่องอื่นให้น่าลุ้นมากกว่า” ท่านยอมตามใจบุตรชายแต่โดยดี พลางพูดประโยคหลังเสียงเบาจนคนที่เดินข้างกันแทบไม่ได้ยิน จึงถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจกลับถูกเมินซะอย่างนั้น
“ครับ คุณแม่ว่าอะไรนะครับ”
คุณปรางทิพย์บอกลากับเจ้าของงานโดยให้เหตุผลว่าต้องกลับไปดูแลพ่อสามีที่อยู่บ้านคนเดียวจึงอยู่นานไม่ได้ ก่อนจะไปรอรถที่หน้าโรงแรม ขึ้นนั่งบนรถก็เก็บของสำคัญใส่กระเป๋าด้วยความระมัดระวัง หลักฐานชิ้นดีที่ต้องหาคำตอบ
ระหว่างทางกลับบ้านคนอายุมากกว่าไม่ยอมปล่อยให้ลูกชายรอดพ้น เริ่มตั้งคำถามตามที่ตัวเองสงสัย คล้ายกับเป็นเรื่องปกติทั่วไปพยายามไม่คาดคั้นในคำตอบ
“เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนลูกตอนเด็กมากนะ” ขณะที่ดวงตาคมเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ชมบรรยากาศเมืองหลวงยามค่ำคืนที่มีเม็ดฝนโปรยปรายให้คิดละเมอถึงเรื่องคืนนั้น ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศของห้องในโรงแรมไม่ได้ทำให้เจ้าของร่างรู้สึกเย็นสักนิด กลับร้อนระอุยามถูกปัดป่ายตามเนื้อกายด้วยมือนุ่ม
เกลียดตัวเองที่จดจำทุกสัมผัสจากหล่อนได้ พอคิดถึงทีไรก็ปวดเกร็งทุกทีจนต้องพรูลมหายใจระงับความต้องการ ก่อนตอบมารดาไปตามเรื่องโดยไม่ได้คิดตามที่ท่านพูดสักนิด
เหมือนตรงไหน...เขาออกจะหล่อกว่าเด็กนั่น
“แค่บังเอิญมั้งครับ”
“รู้จักผู้หญิงคนนั้นด้วยเหรอ แม่เห็นคุยกัน...”
“แค่บังเอิญรู้จักน่ะครับ” ยิ่งคิดถึงใบหน้าหวานที่จ้องมองกันอย่างแค้นเคืองก็นึกไม่สบอารมณ์ ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยมองเขาด้วยสายตาเสน่หา แล้วเหตุใดจึงมีเพียงหล่อนที่จ้องคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อกันเสียอย่างนั้น
คิดถึงเธอก็ยิ่งหงุดหงิดจนแสดงออกทางสีหน้า คุณปรางทิพย์รู้ว่าคงมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้น พอมองสายตาของลูกชายตัวเองออกว่าซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ และดูฝ่ายหญิงมีท่าทีแค้นเคืองคิรากรเสียด้วย
“บังเอิญบ่อยจังเลยนะ...ไม่อยากบังเอิญมีสะใภ้หรือหลานให้แม่บ้างเหรอ” แกล้งหยอดเพื่อดูอาการและดาราหนุ่มก็ปฏิเสธทันที