บทที่๒...ต้อนรับสะใภ้และหลานชาย (๑)
๒
ต้อนรับสะใภ้และหลานชาย
การที่เขาถามย้ำเรื่องห้าปีก่อนยิ่งทำให้หล่อนตกใจในรายละเอียดที่อีกฝ่ายจำได้ไม่ลืม เหมือนที่เธอก็จำได้เช่นเดียวกัน ถึงพยายามลืมแค่ไหนบางครั้งก็คิดถึงให้หงุดหงิดใจ
ทว่าสิ่งที่สุทัชชากลัวไม่ใช่เรื่องความทรงจำระหว่างเรา แต่เป็นเด็กที่ตนกำลังจับมือไว้แน่นอยู่ต่างหาก ถ้าเขาเกิดสงสัยขึ้นมาว่าคณินเป็นลูกของใคร...เธอจะตอบอย่างไร
ไม่มีทางบอกว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากคืนพลาดพลั้งของเรา แล้วดูท่าอีกฝ่ายก็คงไม่ต้องการรับผิดชอบหรือให้เธอและลูกเข้าไปเกี่ยวข้องในชีวิตของเขา ซึ่งหล่อนก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน
เราไม่มีใจเสน่หาต่อกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นก็แค่ความผิดพลาด ไม่อยากเอาตัวเองไปผูกติดกับเรื่องราววุ่นวาย รู้ทันทีว่าการอยู่ใกล้หนุ่มคนดังไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก แต่หล่อนก็ไม่อาจปล่อยให้เขามาดูถูกได้เช่นกัน
จึงพยายามฉีกยิ้มทั้งที่แววตาแข็งกร้าว คล้ายจะบดขยี้ร่างสูงให้แหลกละเอียด เกลียดความไม่แยแสของเขา ไหนจะเอาตัวเองเป็นหลักไม่ยอมรับความผิดคืนนั้น กลับฟาดเงินใส่หัวหล่อนอย่างน่าโมโห ผู้ชายแบบนี้ไม่เหมาะจะเป็นพ่อใครหรอก
คิดได้อย่างนั้นก็เลือกปิดหูลูกชายเอาไว้ไม่ต้องการให้ได้ยินคำพูดร้ายกาจ ซึ่งตนต้องการสั่งสอนคนที่พูดเรื่องคืนนั้นอย่างไม่สะท้านสักนิด...
“ดิฉันไม่ทราบว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร แต่เราไม่เคยเจอกันมาก่อนกรุณาให้เกียรติกันด้วยนะคะ อย่าปล่อยสุนัขในปากมาเพ่นพ่านนักเลย รู้ค่ะว่าในปากมีหลายตัวยังไงก็ช่วยเลี้ยงให้มันเชื่องหน่อยนะ จะได้ไม่ออกมากัดชาวบ้าน” ข่มความโกรธสุดความสามารถแล้วเน้นทุกคำพูดหวังให้เข้าหูคนฟังบ้าง
ดวงตาคมเบิกกว้างเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธที่โดนด่าซึ่งหน้า เกิดมาสามสิบปีไม่เคยมีใครด่าเขามาก่อน ล้วนพินอบพิเทาแทบจะยกคิรากรอยู่เหนือผู้อื่น มีเพียงหญิงตรงหน้าที่เอาแต่เชิดหน้าเถียงคอเป็นเอ็นไม่ยอมแพ้
เห็นแล้วนึกหงุดหงิดกับท่าทีนั้นจนเริ่มอยากเอาชนะ...เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก
“นี่เธอ!” ตะเบ็งเสียงใส่คนตัวเล็กกว่า แทนที่หล่อนจะกลัวกลับเลือกถลึงตาใส่เขา บอกเป็นนัยว่าพร้อมจะสู้และไม่มีอะไรจะเสีย
กลายเป็นคิรากรที่ระงับความโกรธเอาไว้เพราะเห็นว่าคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มเหลียวมอง หากไม่ติดที่ต้องเร่งทำงานก็คงเข้ามาขอถ่ายรูปและขอลายเซ็นพระเอกหนุ่มแล้ว ร่างสูงเม้มปากแน่นแสดงออกว่าโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้
“กลับกันเถอะลูก” ถือโอกาสที่เขากำลังเงียบจูงมือลูกน้อยเพื่อกลับเข้าไปเอาของในห้องพักเพื่อจะได้กลับบ้านของเรา
คิดมาตลอดว่าเราคงไม่ได้เจอกัน หล่อนร้องเพลงตามผับยามกลางคืน ขณะที่เขาเป็นนักแสดงชื่อดังที่ไม่มาตามผับราคาถูก ชีวิตนี้คงไม่ได้ประสบพบหน้ากันอีก...ใครจะคิดวันหนึ่งเราต้องมาเจอกัน
ในสภาพที่หล่อนไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้สักนิด
“ครับ” เดินตามแรงจูงของมารดา ปิดปากเงียบไม่ถามอะไรรับรู้ถึงน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของสุทัชชา แต่ไม่วายหนูน้อยเหลียวกลับมามองลุงยักษ์ที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าก่อนเอ่ยท้วงถึงเรื่องค่ำคืนหฤหรรษ์ ดูท่าว่าเจ้าตัวจะไม่ลืมและจำได้ทุกท่วงท่าแห่งความสุขของเรา
เขารู้ว่าเธอไม่ลืม...จึงอยากง้างปากให้คนปากแข็งยอมรับ
เพื่อให้ตัวเองรู้สึกชนะนั่นเอง...
“ลืมเรื่องคืนนั้นของเราไปแล้วหรือไง ต้องให้ฉันเตือนความจำไหมว่าเรื่องเกิดในโรงแรมที่เราสองคน...” ร่างบางปล่อยมือจากลูกชายทันทีแล้วก้าวเข้ามาหาเขาเผลอตวาดชายหนุ่มเสียงดัง ไม่อยากได้ยินเรื่องราวในคืนนั้นให้ระคายหู เธอพยายามจะลืมมันแล้วแต่เหมือนเขาต้องการให้ย้ำเตือน
ทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร หล่อนยิ่งกลัวว่าเขาจะสงสัยเรื่องลูก...
“มันจะมากไปไหนนะคุณคิรากร!”
“มากอะไร ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แค่กำลังนึกย้อนไปเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้นเอง...” ยกยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อ ความจริงคิรากรก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องหาเรื่องหล่อน เพียงแค่อยากเอาชนะอย่างเดียวเท่านั้น
หรือต้องการอย่างอื่นด้วยกันแน่
รสชาติที่ตนไม่เคยลืม ความหวานที่ซาบซ่านไม่มีใครเหมือน เสียงครางหวานหูกับเล็บที่ครูดไปตามแผ่นหลังของเขา...จดจำทุกอย่างได้ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
และเป็นเพราะหล่อนคนเดียว...ตลอดห้าปีมานี้เขาจึงไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนไหนเลย!
เอาแต่คิดถึงความหอมหวานที่ได้จากเธอ แต่ลั่นวาจาออกไปแล้วว่าไม่มีทางสานต่อเป็นครั้งที่สอง จึงไม่อาจผิดคำพูดได้
“เรื่องมันผ่านไปแล้วและฉันก็ลืมไปหมด คุณเองก็ควรจะลืมเหมือนกัน วันนั้นบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้ฉันไปป้วนเปี้ยนใกล้คุณให้รำคาญสายตา” โดนจี้ถามทำให้เขาสะอึก ก่อนที่มุมปากหยักจะยกขึ้นคล้ายชอบใจบางสิ่ง สุทัชชาเห็นแล้วเกลียดรอยยิ้มเช่นนั้นของเขาเสียเหลือเกิน ทำไมจึงดูน่าหมั่นไส้ขนาดนั้น
“จำแม่นซะด้วย แล้วจำคืนนั้นของเราได้หรือเปล่าล่ะ นึกออกไหมว่าเธอเรียกร้องกับฉันมากแค่ไหน เล่นเอาฉันหมดแรง...” ใบหน้าคมโน้มลงมากระซิบที่ข้างหูหล่อนพอให้ได้ยินกันสองคน จึงไม่ได้ระวังว่าความโกรธของหญิงสาวจะทำให้ตนต้องเจ็บตัว เผลอพูดสนุกปากไม่คิดถึงจิตใจของคนฟังสักนิด
เพี๊ยะ
ฝ่ามือบางตวัดเข้าที่แก้มสากเสียงดัง โดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้หลบด้วยซ้ำ เขาเบิกตากว้างตกตะลึงที่โดนหญิงสาวทำร้าย ถ้าไม่ใช่ในละครก็ไม่เคยโดนตบเลยสักครั้ง หล่อนถือสิทธิ์อะไรมาทำร้ายเขา แววตาคมแข็งกร้าวพร้อมเอาเรื่อง จับมือเล็กบีบเอาไว้ตามแรงอารมณ์
ผู้ใหญ่สองคนที่ยื้อยุดกันอยู่ตรงหน้า ทำให้หนูน้อยพยายามชะเง้อมองว่ากำลังทำอะไร จึงค่อยเดินเข้าไปหามารดาแล้วยกมือขึ้นดึงเสื้อของสุทัชชา แต่ตอนนี้หล่อนไม่ได้สนใจลูก เอาแต่สบตาเขาพลางข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
“คุณมันทุเรศที่สุด”
“อย่าคิดว่ามีเด็กอยู่ด้วยแล้วฉันจะไม่กล้า...” เพิ่มแรงบีบมากขึ้นกว่าเดิม จนใบหน้าหวานเหยเกด้วยความเจ็บแต่ก็เม้มปากแน่นไม่ส่งเสียงร้องครางประท้วง หล่อนเกลียดเขาอย่างไม่เคยรู้สึกรุนแรงเช่นนี้กับใครมาก่อน
ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ชอบรังแกผู้หญิง...ไม่รู้ทำไมถึงต้องให้เรากลับมาเจอกันด้วย
แล้วเขายังเป็นพ่อของลูกอีก...