บทที่๑...เด็กคนนั้นคือฉันอีกคน (๓)
“สวัสดีค่ะคุณป้า สวัสดีค่ะพี่คิน” ยกมือไหว้คนอายุมากกว่า แล้วค่อยหันมาทักทายชายหนุ่มที่ตนหมายตาเอาไว้
รู้จักกับเขาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่สนิทสนมกัน เธอชอบในความหล่อเหลาของเขา ตอนเด็กหน้าตาดีอย่างไร โตมาก็ยิ่งหน้าตาดีมากกว่าเดิม ได้รับโหวตให้เป็นหนุ่มหล่อแห่งปีถึงสามสมัยซ้อน ที่สำคัญคือยังโสด...สาวหลายคนจึงจ้องตาเป็นมัน
“มากับใครคะ มีเพื่อนหรือเปล่า”
“มากับคุณแม่ค่ะ...” ตอบเสียงเบาแล้วเหลือบมองมารดาที่กำลังเดินเข้ามาหมายจะร่วมวงสนทนา
“ป้าว่าจะไปคุยกับแม่หนูพอดี ยังไงหนูคุยกับพี่เขาไปก่อนนะคะ” รีบโยนหน้าที่ดูแลสาวเจ้าให้ลูกชายที่ทำหน้านิ่งอยู่ข้างกาย เขาได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เหมือนถูกมัดมือชกอย่างไรอย่างนั้น แล้วคุณเธอก็ยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง
“แม่...” เรียกท่านเสียงเบา คล้ายจะขอความช่วยเหลือ แต่คุณปรางทิพย์กลับยิ้มหน้าตาย
“ฝากน้องด้วยนะคิน”
“ครับ”
แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากตอบรับ สุดท้ายก็ต้องพูดคุยกับหล่อน แต่ส่วนมากก็เป็นฝ่ายหญิงที่พูดไม่หยุด ส่วนตนก็ทำเพียงพยักหน้าไปตามเรื่อง มองนาฬิกาบ่อยครั้งว่าเมื่อไหร่งานเลี้ยงจะเลิกสักที เขาแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
กระทั่งเสียงร้องเพลงดังขึ้น ความก้องกังวานของน้ำเสียงทำให้คนที่นั่งเบื่อเงยขึ้นไปมองบนเวที พบนักร้องสาวที่กำลังถือไมค์ร้องเพลงอย่างมีความสุข ราวกับโลกนี้มีหล่อนเพียงผู้เดียว เนื้อเพลงที่เบาสบายกับน้ำเสียงใสราวหยดน้ำค้างในยามเช้า คนฟังเผลอยิ้มมุมปากก่อนจะขมวดคิ้วยามที่สายตาคู่นั้นหันมาสบกัน
เสียงของหล่อนสะดุดพร้อมอาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด แต่คงไม่มีใครสนใจเพราะมัวแต่พูดกันอย่างออกรส นอกจากเขาที่จับสังเกตได้แล้วเห็นว่าเธอหันไปทางอื่น ทำคล้ายกับจะหลบหน้ากัน
รู้จักกันอย่างนั้นเหรอ...
“พี่คินว่าไหมคะ พี่คิน...พี่คินคะ”
“ครับ พี่ก็คิดแบบนั้น” ตอบไปตามเรื่องให้หมดรำคาญ สายตาไม่ได้มองผู้หญิงที่นั่งข้างกันเพราะเอาแต่จ้องคนบนเวที
คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าหล่อที่ไหน ก่อนที่ดวงตาคมจะเบิกกว้างเล็กน้อย คิดออกทันทีว่าเธอคือคนที่เขานอนด้วยเมื่อหลายปีก่อน ที่จำขึ้นใจเพราะหล่อนบอกว่าเข้าห้องผิด ทั้งยังด่าเขาว่าคนทุเรศและที่สำคัญคือทิ้งเงินไว้ไม่ยอมนำกลับไปด้วย
ต้องการลองดีหรือเป็นรูปแบบใหม่ให้จำไม่ลืมกันนะ...
พอรู้ว่าเธอเป็นใครก็เลิกสนใจทันที แต่กระนั้นสายตาก็ยังวนเวียนอยู่ที่เวทีไม่เลิก หล่อนไม่ใช่คนสวยสะดุดตา รูปร่างก็ไม่ได้งดงามเหมือนนางแบบ ดูธรรมดาในความคิดของเขา...ต้องเป็นเพราะเสียงใสกังวานที่เรียกความสนใจได้
นั่งฟังเพลงอย่างไม่รู้เบื่อ หลายครั้งที่เผลอมองไปบนเวทีหมายจะสบตากับเธอ แต่อีกฝ่ายก็ไม่มองมาที่เขาสักครั้ง จนคิรากรนึกหงุดหงิด
เชื่อว่าหล่อนต้องจำเรื่องคืนนั้นได้เป็นอย่างดี ขนาดเขายังไม่ลืม แล้วเธอจะลืมได้อย่างไร
“พี่คินไม่มีแฟนจริงเหรอคะ ทำไมถึงไม่ยอมคบใครล่ะ หรือเพราะมีคนอยู่ในใจ...” คนข้างกายก็ชวนคุยไม่หยุด ไม่ได้จับสังเกตเลยว่าเขาอยู่ในอาการเบื่อหน่าย
คนอย่างคิรากรไม่เคยต้องเก็บซ่อนใครไว้ในใจ เพียงแค่เขามองตาก็มีสาวหลายคนยอมศิโรราบแต่โดยดี ไม่ต้องพยายามจีบหรือเข้าไปทำความรู้จักด้วยซ้ำ
“ไม่มีหรอก พี่แค่ยังไม่เจอคนที่ชอบน่ะ” ตอบโดยที่สายตายังจดจ้องบนเวที
เขายังจำได้ว่าคืนนั้นเจอสาวถูกใจเลยนัดไปต่อที่โรงแรม แต่ตนต้องคุยธุระเลยให้อีกคนขึ้นไปก่อน พอตามเข้ามาในห้องที่ปิดไฟมืดก็คิดว่าสาวเจ้าขี้อาย กระทั่งเห็นหล่อนถอดเสื้อผ้ารออยู่ในห้องน้ำ ก็ไม่รอช้าเข้าไปจัดการตามวัตถุประสงค์ ไม่อารัมภบทและใส่เต็มทุกบทเรียน
รสหวานจากปลายลิ้นของเธอยังตรึงใจเขาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะจูบกับใคร...ก็ยังคิดถึงรสชาตินั้นไม่ลืม
“แล้วอย่างไหม...เป็นคนที่พี่ชอบได้ไหมคะ” สายตาเย้ายวนที่ส่งมาให้ ไม่ได้หลอมละลายใจเขาสักนิด ชายหนุ่มเลือกจะตัดความหวังทั้งหมดของหล่อนทิ้ง
“ไม่ได้ พี่ไม่ได้ชอบไหม” กลายเป็นคนถามที่สะอึก สบตากับเขาหมายจะสื่อความในใจให้หมด แต่พอจ้องเข้าไปในแววตาคู่นั้นกลับพบเพียงความเย็นชาที่น่าใจหาย หล่อนมั่นใจในความสวยความเก่งของตัวเอง มีผู้ชายเข้าหาอยู่บ้าง
แต่ทำไมคิรากรไม่มองเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งเลย...
“อ่า...” ถึงกับพูดไม่ออก เขาจึงละสายตาจากเธอเพื่อไปมองบนเวที เพลงจบลงไปสักพักแล้วพร้อมกับนักร้องคนใหม่ที่ขึ้นมา ร่างสูงเห็นอย่างนั้นก็ผุดลุกยืนเต็มความสูง ไม่คิดจะนั่งฟังหญิงสาวพล่ามอีกต่อไปเพราะมีเรื่องน่าสนใจมากกว่านั้น
“พี่ขอตัวนะ”
ก้าวออกไปข้างนอกไม่รอให้เธออนุญาต เขาตัดสินใจเดินไปหลังเวทีเพื่อจะคุยกับนักร้องที่เพิ่งลงมา แต่เหมือนว่าความวุ่นวายทั้งหมดอยู่ข้างหลัง สตาฟเดินขวักไขว่จนแทบไม่เห็นหล่อน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อถูกชน
อีกฝ่ายหมายจะบ่นคนที่ยืนเกะกะ แต่พอเห็นว่าเขาเป็นใครก็ปิดปากเงียบแล้วค้อมศีรษะเป็นการขอโทษ จากนั้นจึงหลีกหนีจากคนดังให้ไกล ปล่อยเขาเดินตามหาใครบางคนโดยไม่มีคนกล้าเข้ามาถามไถ่
คิรากรมีรังสีที่ทำให้คนกลัว โดยเฉพาะยามโดนดวงตาคู่คมจ้องมอง...จนต้องรีบหลบสายตา
“โอ๊ย...หือ ยักษ์เหรอ” เดินไม่ทันดูว่ามีเด็กวิ่งมาทางนี้พอดี จึงชนเข้าให้อย่างจังจนหนูน้อยซึ่งกอดตุ๊กตากระต่ายเอาไว้ล้มนั่งจุ้มปุ๊กบนพื้น ค่อยเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบหกเซนติเมตร ทั้งขนาดตัวที่ใหญ่จนเด็กชายเผลอเรียกว่ายักษ์ด้วยความตกใจ
“เจ็บหรือเปล่า คราวหลังก็มองให้ดีไม่ใช่วิ่งทะเล่อทะล่าชนคนอื่นจนตัวเองล้ม” ค่อยย่อกายลงมาอุ้มเด็กชายให้ลุกยืน ไม่วายสั่งสอนไปในตัวลืมเสียสนิทว่าตนเองก็ไม่ได้ดูให้ดีเช่นเดียวกัน แต่พอดีเขาไม่ใช่พวกชอบโทษตัวเองด้วยสิ
“ขอโทษครับ แต่ลุงก็น่าจะดูด้วยสิว่าผมวิ่งมาก...หลบไม่เป็นเหยอ” คนไม่ชอบโทษตัวเองกับคนไม่ยอมใครมาเจอกัน คราวนี้สองหนุ่มต่างวัยสบตากันนิ่ง ถ้าไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็ก เขาคงได้สั่งสอนสักทีสองทีแล้ว
คิรากรยกมือวางบนศีรษะเล็ก ก่อนจะขยี้ด้วยอาการหมั่นไส้กับความช่างพูด อายุไม่น่าจะถึงเจ็ดขวบแต่ความคิดความอ่านไปไกลกว่าตัว อยากรู้ว่าพ่อแม่เป็นใครจริงๆ
“วิ่งเล่นในขณะที่คนอื่นเขาทำงาน แบบนี้ไม่ถูก” นักแสดงคนดังไม่ยอมแพ้ เริ่มโต้กลับแล้วมีหรือที่คนอายุน้อยกว่าจะยอมโดนดุ มองลุงยักษ์ตาแป๋วพลางกอดตุ๊กตากระต่ายไว้แน่นเหมือนต้องการที่พึ่ง ถึงจะกลัวแต่ความกล้ามีมากกว่า
ลืมคำสอนของมารดาที่เคยสั่งไว้ว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้าไปเสียสนิท รู้จักเพียงแต่การเอาชนะเท่านั้น
“ไม่ได้วิ่งเล่น จะไปหาป้านาถ” เขาไม่รู้ว่าชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยเป็นใคร แต่เห็นท่าทีเถียงตาใส่แล้วก็อดไม่ได้จะต่อปากต่อคำ ถึงจะเหมือนผู้ใหญ่ที่รังแกเด็กตาม ก็เด็กนี่มันน่าแกล้งนี่น่า...แถมหน้าตาก็คล้ายเขาตอนเด็กเสียด้วย
“ก็เดินสิ วิ่งทำไม”
“เฮ้อ เหนื่อยจะคุยแล้ว” คราวนี้คิรากรถึงกับอึ้งเมื่ออีกฝ่ายยกมือขึ้นตบหน้าผากเสียงเบาคล้ายเหนื่อยใจกับเขา นี่ตัวเองกำลังถูกเด็กทำท่ารำคาญใส่อย่างนั้นเหรอ เขาถึงกับเผยอปากค้างไม่เคยมีใครทำอย่างนี้กับตนเช่นนี้มาก่อน
หมายจะสั่งสอนเด็กตรงหน้าแต่อีกฝ่ายกลับโดนคนเป็นแม่เรียกเสียงดัง จนเขาต้องหันไปมองก็พบคนที่ตนกำลังตามหา วิ่งมาหยุดต่อหน้าโดยไม่ได้สนใจเขาสักนิด เอาแต่กอดเด็กไร้มารยาทแน่นพร้อมบอกเสียงสั่น เล่นเอาคิรากรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น จ้องภาพตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร ทั้งยังเอากายบังไม่ให้คนอื่นมองสองแม่ลูกอีก
ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร...แต่ก็ทำไปแล้ว
“ต้นรัก! ออกมาข้างนอกทำไมแม่บอกให้รอในห้องไม่ใช่เหรอ” เผลอไปเข้าห้องน้ำเพียงครู่เดียว กลับมาอีกคราวว่าจะรับเงินแล้วรีบพาลูกกลับ แต่เด็กน้อยก็ไม่นั่งอยู่ที่เดิมจนเธอต้องรีบวิ่งวุ่นตามหา โชคดีที่เห็นคณินกำลังยืนกอดตุ๊กตา ใจคนเป็นแม่เลยกลับมาเป็นปกติ ตอนแรกกลัวว่าลูกจะหายไป
ยิ่งเห็นว่าภายในงานนี้มีคนที่ไม่อยากเจออยู่ด้วย ก็ต้องการพาลูกกลับบ้านให้เร็วที่สุด ห้าปีไม่เคยเจอกันแล้วทำไมต้องมาเจอวันนี้ด้วย
“ผมแค่จะไปหาป้านาถ ขนมหมดแล้ว...” บอกเหตุผลเสียงเบาหวิว จากตอนแรกที่ต่อปากต่อคำไม่เกรงกลัวผู้ใหญ่ พออยู่กับแม่ก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงที่ยืนล้วงกระเป๋ามองสองแม่ลูกถึงกับหัวเราะในลำคอ
เด็กนี่ร้ายไม่เบาเลย
“หมดแล้วก็นั่งระบายสีรอแม่สิ คนเยอะแยะถ้าหลงจะทำยังไง” ยังคงเอ็ดไม่เลิกจนเด็กชายต้องใช้ลูกอ้อนเข้าช่วย มั่นใจว่าคราวนี้ต้องเรียกคะแนนความสงสารได้ท่วมท้น
“ผมโดนชนด้วย ลุงยักษ์ชนผมแล้วยังบอกว่าผมผิดอีก ผมเจ็บครับแม่” ชี้ไปยังชายหนุ่มที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นไม่ยอมหลบ เขายังนึกสงสัยว่าหล่อนไม่เห็นได้อย่างไร และเพียงแค่ใบหน้ามนเงยขึ้นได้สบตากับร่างสูง
นัยน์ตาหวานกลับเบิกกว้าง เผยอปากค้างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เธอกลัวมาตลอดว่าสองพ่อลูกจะได้พบกัน กังวลว่าเขาจะรู้ความจริงจึงคิดจะหลีกเลี่ยง แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกให้พวกเรามาพบกัน
ร่างบางค่อยลุกยืนแล้วเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ไม่ได้พบมานานกว่าห้าปี ภาวนาในใจให้เขาจำตนไม่ได้ คงมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาพร้อมพลีกายให้ชายหนุ่ม คนที่แค่นอนด้วยกันคืนเดียวแล้วแยกย้ายจะเป็นที่จดจำได้อย่างไร
“ไง...ไม่เจอกันนานสบายดีไหม เงินห้าพันที่ฉันให้ทำไมไม่เอาไปด้วยล่ะ”
แต่ผิดคาดเพราะนอกจากชายหนุ่มจะจำเธอได้แล้ว ยังจำรายละเอียดที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้อีกต่างหาก
แย่แล้วสุทัชชา!