บทที่๑...เด็กคนนั้นคือฉันอีกคน (๑)
บทที่๑...เด็กคนนั้นคือฉันอีกคน
มือเรียวคว้าของทุกอย่างโกยใส่กระเป๋าด้วยความเร่งรีบ หล่อนมีงานเข้ากะทันหันได้ไปร้องเพลงที่งานแซยิดของคุณหญิงอมรา เดชากรกุลซึ่งเป็นภรรยาเจ้าของห้างทองชื่อดังที่มีสาขาทั่วประเทศ พี่ที่จัดงานรู้จักกับหล่อนเป็นการส่วนตัว มักหางานให้เสมอแต่ไม่เคยกระชั้นชิดเช่นนี้มาก่อน
แทบจะวิ่งตาลีตาเหลือกด้วยซ้ำเพราะต้องรีบไปยังสถานที่จัดงานเพื่อเตรียมตัว ไหนจะเป็นวันหยุดที่ลูกชายของตนไม่ได้ไปโรงเรียน หากให้อยู่บ้านคนเดียวก็เป็นกังวลจึงต้องหิ้วเอาหนูน้อยวัยสี่ขวบที่กำลังเล่นซนอยู่หน้าบ้านไปด้วย
หยิบของของตนแล้วก็ต้องหยิบของสำคัญให้ลูก ดีที่อาบน้ำแต่งตัวเด็กชายเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องจับมาขัดสีฉวีวรรณใหม่ งานจัดอยู่โรงแรมหรูจึงต้องให้เกียรติสถานที่สักหน่อย ดูท่าแล้วคนที่ไปงานคงมีแต่คนในแวดวงสังคมเดียวกัน
“ขึ้นรถเร็วลูก” จัดของเรียบร้อยก็นำไปใส่ไว้ในรถญี่ปุ่นคันเก่าที่ซื้อต่อจากเพื่อนในราคาถูก สะดวกในการไปรับไปส่งลูกและยามตนไปทำงาน
เมื่อก่อนสุทัชชาขับรถยนต์ไม่เป็นและไม่คิดจะหัดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ไม่มีเงินซื้ออยู่แล้ว กระทั่งมีลูกแล้วต้องไปไหนมาไหนโดยพาหนูน้อยไปด้วย รถสาธารณะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ พอดีกับเพื่อนที่รู้จักจะขายรถในราคาถูกเพื่อซื้อคันใหม่ จึงถามขายกับเธอแล้วยังลดให้อีกต่างหาก
คิดหนักอยู่หลายวันก่อนตอบรับแล้วไปสมัครเรียนขับรถ ไม่นานก็ได้ใบขับขี่และกดเงินเก็บมาซื้อ ทำให้ตอนนี้เงินในคลังเหลือไม่เยอะ จึงต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำหาเงินมาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว
หล่อนประหยัดจนคนรอบข้างบอกว่าตระหนี่เกินไปหรือเปล่า แต่ที่ทำทุกอย่างก็เพื่อลูกชายสุดที่รัก
เด็กชายคณิน อิ่มเอมฤดี
คนที่อยู่กับหล่อนในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุด เคยคิดจะทำแท้งแต่เพราะอายุครรภ์ตอนนั้นเกือบยี่สิบสัปดาห์แล้ว หล่อนได้ยินเสียงหัวใจของเด็กด้วยซ้ำจึงตัดสินใจจะเลี้ยงหนูน้อยอย่างดี
แต่น่าโกรธตรงที่หล่อนอุตส่าห์ฟูมฟักเลี้ยงดูมาหลายปี...แต่ดันหน้าเหมือนพ่ออย่างกับถอดกันออกมา
ผู้ชายห่วยแตกเช่นนั้นจะไปคล้ายทำไม!
“เราจะไปไหนเหรอแม่”
“ไปทำงาน แล้วก็ไปหาป้านาถ”
“เย้ๆ ผมจะได้กินขนมเยอะๆ เลยใช่ไหม”
“ที่กินทุกวันยังไม่เยอะอีกเหรอ ขนมปังหมดไปเป็นแถวเพราะเราคนเดียวเลย ถ้าไม่กินข้าวแม่ไม่ให้กินขนมปังนะ” ระหว่างทางที่ไปยังโรงแรมก็มีเสียงเล็กชวนคุยไม่ขาดสาย เธอซื้อคาร์ซีทมาให้ลูกโดยเฉพาะเพื่อความปลอดภัยของตัวเด็ก ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนท้องถนน กันไว้ก่อนน่าจะดีกว่า
โชคดีที่ลูกของเธอนั่งคาร์ซีทโดยไม่งอแง คนเป็นแม่จึงเหลือบมองเด็กชายผ่านกระจกหลังบ่อยครั้ง ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าลูกมีความสุขเมื่อได้ไปทำงานกับหล่อน
มีไม่บ่อยที่พาคณินไปด้วย หากเป็นสถานที่ซึ่งเด็กสามารถไปได้ก็จะพาไป แต่ส่วนมากหล่อนร้องในผับจึงต้องฝากลูกไว้กับคุณป้าข้างบ้าน ท่านก็ใจดีรับฝากแต่เป็นตนที่ค่อนข้างเกรงใจ ลูกหลานบ้านนั้นมีไม่ใช่น้อย เคยมีกรณีที่ลูกชายของเธอตีกับหลานชายท่าน ตนโดนแม่เด็กค่อนขอดว่าเลี้ยงลูกเป็นอันธพาล
แต่นั้นมาจึงไม่ค่อยไปฝากไว้ หากจวนตัวก็ขอร้องให้คุณป้าช่วยมาเฝ้าที่บ้านของตน ท่านก็ใจดีมาอยู่เป็นเพื่อน สุทัชชาจึงให้สินน้ำใจเล็กน้อยเป็นค่าตอบแทน จะได้ไม่โดนลูกของท่านกล่าวหาว่าใช้แรงงานคนแก่
“คุณกระต่ายล่ะแม่”
“อยู่ในกระเป๋า หนูหยิบเองได้ไหม”
“ครับ”
เด็กชายถามถึงตุ๊กตาตัวโปรดที่ชอบเอามาอุ้มเหมือนเป็นที่พึ่งทางจิตใจ กอดตั้งแต่เด็กจนติดกลิ่น ถ้าอยู่บ้านก็มักจะถือติดตัวเสมอ หล่อนเคยเอาออกห่างก็ร้องโวยวายไม่หยุดเสียงจนต้องรีบเอามาให้กอดเหมือนเดิม
หนูน้อยหยิบกระเป๋ามาเปิดแล้วนำตุ๊กตาตัวใหญ่ออกมากอดไว้ สายตาเหลือบเห็นนมรสโปรดจึงหยิบมาไว้ในมือ เหลือบมองมารดาตาแป๋ว
“กินนมได้ไหม”
“ได้” พอได้รับอนุญาตจึงรีบแกะหลอดแล้วเจาะกล่องดื่มนมรสหวาน ยิ้มมีความสุขพลางมองไปนอกกระจก รถราวิ่งผ่านกันไปมาพอเจอรถคันใหญ่ก็ตาโตแล้วบอกให้แม่ดู ซึ่งเธอก็ตอบรับไปตามเรื่องแล้วตั้งใจขับรถของตัวเอง
ใช้เวลาเพียงสามสิบนาทีก็ถึงยังที่หมาย จอดรถไว้ที่ลานจอดด้านหลังก่อนจะรีบขึ้นลิฟต์ไปยังสถานที่จัดงาน หล่อนค้อมศีรษะเป็นการทักทายสตาฟของงานที่มาเตรียมทุกอย่างไว้ แล้วยกมือโบกก่อนจูงลูกชายพาไปหาคนที่หางานมาให้ตนเสมอ
นาถหทัย อาสาเกียรติรุ่นพี่ที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน หล่อนเกิดและเติบโตที่เมืองหลวงแต่ช่วงเรียนอุดมศึกษาทางบ้านไม่มีเงินส่งเสีย จึงต้องออกมาทำงานเพื่อส่งตัวเองจนเรียนมหาวิทยาลัยเปิดจบ อย่างน้อยก็ได้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีมาครอบครอง แม้จะไม่ได้ใช้ไปสมัครทำงานก็ตาม
“พี่นาถ ขอโทษที่มาช้านะคะ” รีบเข้าไปหาคนที่หางานให้หล่อนตลอด
เจอกันอยู่มหาวิทยาลัยไม่กี่ครั้ง แต่เพราะสายงานเอื้ออำนวยให้หล่อนและอีกฝ่ายสนิทสนมไปโดยปริยาย พูดคุยกันตลอดไหนจะลูกชายของหล่อนที่ติดป้านาถ มักจะได้ของขวัญจากรุ่นพี่แสนใจดีเสมอ แค่เอ่ยชื่อป้านาถก็ยิ้มแก้มปริทุกครั้งยามได้เจอแล้ว
“ช้าอะไรกัน นี่มาก่อนเวลานัดอีกนะ มาๆ เอาหลานมาฝากพี่ไว้แล้วเราก็ไปเทสเสียง เขาเพิ่งจัดเรื่องไฟเรื่องเสียงเสร็จ” สุทัชชาพยักหน้ารับทราบ นำกระเป๋าของลูกชายไว้กับอีกฝ่ายก่อนจะเดินขึ้นเวทีเพื่อไปลองซ้อมเพลงที่จะร้องเพื่อปรับเสียง
คนในงานคงไม่สนใจฟังเพลงเท่าไหร่ น่าจะแค่ให้ร้องคลอไปกับบรรยากาศ ซึ่งหล่อนก็ไม่อยากเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว
คล้อยหลังมารดา เด็กชายก็รีบเดินมาจับมือคุณป้าทันที ยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กที่แหว่งบ้างโผล่พ้นเหงือกมาบ้าง แต่หน้าตาโดยรวมของหนุ่มน้อยก็หล่อเหลาอยู่ดี มองเผินๆ นึกว่าดาราที่โด่งดังอยู่ตอนนี้อย่างคิรากร
อะไรจะหน้าเหมือนดาราขนาดนั้น...
“ป้านาถคนสวย” เสียงอ้อนและแววตาไหนจะคำพูดคำจาหวานหู ทำให้คนเป็นป้าถึงกับยิ้มร่า ไม่เคยมีใครชมว่าเธอสวยเพราะเป็นคนรูปร่างอวบหน้าบาน จมูกก็โตจนโดนล้อบ่อยครั้ง มีเพียงหลานชายคนนี้แหละชมไม่ขาดปาก
“ว้าย ปากหวานแบบนี้เอาอะไรดีสุดหล่อ”
“อยากกินหนม” นั่นไงว่าแล้วเชียว อยากกินขนมเลยมาชมป้านี่เอง แต่กระนั้นก็ยิ้มแก้มปริเมื่อมีคนชมตัวเอง รีบจูงมือเด็กชายไปด้านหลังเพื่อกินขนมที่ตนซื้อเตรียมไว้ให้ทันที