Chapter 4 จนกว่าเธอจะไป
ในเช้าต่อวันต่อมา
ความเร่งรีบไปมหาวิทยาลัย อีกไม่กี่เดือนเฌอเอมก็จะเรียนจบในสาขาคณะนิเทศศาสตร์ เธอมีความสนใจในงานบันเทิงเกือบทุกแขนงเพราะชอบในการเป็นศิลปะและศาสตร์ของมัน ทว่าวันนี้เหมือนความเร่งรีบจะไม่เป็นผลเสียเท่าไหร่ เมื่อนาฬิกาปลุกตัวเก่งดันมาเสียเอาในวันที่สำคัญเพราะมีกิจกรรม เป็นผลให้เผลอตื่นสายแล้วยังเงอะงะหยิบจับของผิดๆ ถูกๆ พาลให้ช้าไปใหญ่ ร่างเล็กวิ่งตุบตับลงบันไดอย่างเร่งรีบ จัดแจงเครื่องแต่งกายยัดชายเสื้อนักศึกษาลงในกระโปรงแล้วคาดเข็มขัดแบบหลวมๆ ในขณะที่กึ่งวิ่งกึ่งเดิน
"คุณเอมกินข้าวเช้าก่อนนะคะ ป้าตั้งโต๊ะไว้ให้แล้ว"
เสียงที่ดังเอ่ยออกมา ก่อนที่ป้าราตรีโผล่ศีรษะออกจากห้องครัวตะโกนถามคนที่อยู่ในชุดนักศึกษาเข้ารูป เมื่อเช้าถูกเตรียมไว้แบบง่าย เป็นข้าวต้มหมูทรงเครื่องและน้ำผลไม้รสโปรดของเฌอเอม
“ไม่ค่ะป้า เอมรีบกลัวไปไม่ทัน”
“เพิ่งเจ็ดโมงเช้าเองนะคะ”
“มีกิจกรรมค่ะป้าตรี ต้องไปก่อนเวลา”
เมื่ออีกฝ่ายมีเหตุผล ป้าราตรีก็ไม่อยากเซ้าซี้ เฌอเอมสวมรองเท้านักศึกษาอย่างเรียบร้อย ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายใบโปรดและหยิบหนังสือเพียงไม่กี่เล่มเข้าวงแขน อีกทั้งรถยนต์คันที่ใช้ขับประจำดันมาเสียเมื่อสองวันก่อน ฉะนั้นการเดินทางไปมหาวิทยาลัยในครั้งนี้คงไม่พ้นการเรียกแท็กซี่อีกเช่นเคย ก้าวเท้าออกมาหน้าบ้านได้เพียงไม่กี่ก้าวกับมีเรื่องทำให้เฌอเอมตกใจ เมื่อถูกดึงเรียวแขนอย่างแรง
"ว๊าย!!"
แรงกระชากทำคนตัวเล็กเซกระแทกเข้ากลางอกของปวีร์ เขาตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องออกไปดูงานนอกสถานที่ จังหวะที่ลงบันไดเพื่อเดินไปข้าวเช้า พลันดวงตาคู่คมก็เปรยเห็นความรีบร้อนของน้องสาวคนละพ่อละแม่
“ไปไหนแต่เช้า”
เมื่อเห็นว่าเฌอเอมสวมชุดนักศึกษา ก็คิดด้านลบไปก่อนว่าคนอายุน้อยต้องไปที่อื่นก่อนมหาวิทยาลัย พลันชุดรัดรูปนั้นช่างขัดหูขัดตาอยู่ไม่น้อย เพราะโดยนิสัยปวีร์ไม่ชอบผู้หญิงโชว์สัดส่วนเกินงาม
“ไปเรียน”
“เช้าขนาดนี้ ไปช่วยแม่บ้านทำความสะอาดตึกหรือไง”
ประโยคที่เอ่ยถามออกมานั้น เฌอเอมรู้ในทันทีเลยว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องในทางที่ผิด เรียวแขนที่ถูกกระชากแล้วกำไว้ยังค้างอยู่อย่างนั้น เรียวปากอวบอิ่มขบเม้มเข้าหากัน ไม่รู้จะต่อความยาวประโยคใดเพราะคนอายุมากคงจ้องหมายจะหาเรื่อง
“...”
"นัดใครไว้แต่เช้า”
“เอมไปเรียนจริงๆ แล้วมีกิจกรรมด้วย”
เธอยังยืนยันคำเดิม ขณะที่ปวีร์เอาแต่มองคนเด็กกว่าด้วยแววตาฉุนเฉียว
"ไปยังไง"
"เรียกแท็กซี่"
ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยสนใจถามไถ่เธอเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้ดันเอ่ยปากราวกับสนใจและเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมา
ไม่หรอกพี่วีร์ไม่ได้เป็นห่วงอะไรเรา แค่ถามตามประสาคนอยู่บ้านหลังเดียวกัน
หนึ่งความคิดผุดขึ้น ก่อนจะตาเบิกกว้างและฉงนงงที่ได้ยินคนตรงหน้าเอ่ยขึ้น
"ขึ้นรถ -- จะแวะไปส่ง"
!!
เฌอเอมกำลังนึกว่าตัวเองต้องหูฝาด ยืนนิ่งแล้วเรียบเรียงประโยคที่ได้ยินเมื่อสักครู่ใหม่อีกครั้ง ปวีร์อาสาไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยทั้งที่ไม่เคยเจียดเท้าไปเหยียบมันเลยด้วยซ้ำ คนตัวเล็กได้แต่ยืนอึ้งทั้งดวงตากะพริบถี่มองคนอายุมากอย่างประหลาดใจ กระทั่งเสียงทุ้มตวาดดังอัดปะทะเข้าใบหน้าจนสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ
"หูหนวกเหรอ บอกจะไปส่ง"
เพราะอีกฝ่ายตั้งท่าจะอารมณ์เสีย เป็นผลให้เฌอเอมรีบเดินหน้าตั้งไปรอชายหนุ่มบนรถคันหรู เจ้าของมันเดินมาตามหลังทั้งสีหน้าหงุดหงิด วันนี้เขาแต่งตัวดูสบายตากว่าปกติ ก็เพราะอาชีพการเป็นช่างภาพมือทองไม่จำเป็นต้องใส่สูทผูกเนกไทเหมือนพนักงานออฟฟิศ ดังนั้นเขาจะใส่แบบไหนก็ได้ ขอแค่ดูแล้วสุภาพเป็นพอ คนตัวเล็กขึ้นนั่ง รัดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัยทั้งกระโปรงที่สั้นอยู่แล้วเมื่อต้องนั่งบนเบาะซูเปอร์คาร์ก็พลันร่นสูงขึ้นมากลางต้นขา ผิวขาวเนียนละเอียด ยามกระทบบกับแสงยามเช้ายิ่งกระจ่างจนหางตาคู่คมเผลอมองอย่างไม่ตั้งใจ
เพราะรู้สึกเหมือนถูกจ้อง เฌอเอมหันมองคนอายุมาก ทว่าอีกฝ่ายกลับหลบสายตาโฟกัสไปยังถนนด้านหน้า ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแรงเหมือนคนหงุดหงิด เขาไม่ชอบมองอะไรวับแวบจากเรือนกายของเฌอเอม
ถ้าพี่วีร์ไม่ชอบที่ผู้หญิงแต่งตัวแบบนี้ แต่ทำไมเห็นกดไลก์คนนมตู้มๆ เสื้อผ้าน้อยชิ้นออกบ่อย
ถามตัวเองก็ไร้ซึ่งคำตอบ เธอสลัดความคิดนั้นออกจากศีรษะแรงๆ และเอ่ยปากสนทนาขึ้นอีกครั้ง
"พี่วีร์ว่างเหรอ"
"เคยว่างที่ไหน"
น้ำเสียงเย็นชาทั้งเคร่งขรึมเอ่ยตอบ ขณะที่หญิงสาวไม่รู้ต้องใช้บทสนทนาไหนมาเป็นประโยคถัดไป บรรยากาศในรถที่เงียบกริบ ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามา มีเพียงเสียงหัวใจของหญิงสาวมันเต้นตุบๆ แทบจะหลุดออก เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัย
"ไม่ว่าง -- ทำไมไปส่งเอมได้"
"ทางผ่าน"
เกือบเข้าใจผิดว่าเขาคงหวังดีเสียแล้ว ที่แท้ก็แค่ทางผ่านของก็แค่นั้น จากที่แอบดีใจน้อยๆ ก็ฝ่อลง นั่งนิ่งและเงียบปากมองไปยังด้านนอกตัวรถ บรรยากาศที่อยู่แล้วยิ่งเงียบเข้าไปอีก ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของกันและกัน ในขณะที่ชายหนุ่มก็เหล่มองเรือนร่างของคนด้านข้างด้วยสายตาขรึมเข้ม ทำเฌอเอมประหม่าอย่างหนัก ไม่ชินกับการอยู่สองต่อสองโดยปราศจากเรื่องแบบนั้น ครั้นทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง คือตอนปวีร์มีอารมณ์
“กลัวเหรอ"
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นพลันทำให้หัวใจอีกฝ่ายเต้นตึกตัก ใช่เธอกลัว กลัวจะทำให้อีกฝ่ายรำคาญเสียมากกว่า ได้แต่นั่งเม้มปากพลางขยับศีรษะส่ายไปมาแทนคำตอบว่าไม่ หอบหนังสือเข้าอ้อมกอดแน่นเหมือนหาที่ยึดเหนี่ยว ชายหนุ่มมองคนเด็กกว่าด้วยหางตาก่อนจะเบะปากกับท่าทีที่ดูกลัวเขามากเกินไป มันขัดกับตอนอยู่ใต้ร่างบนเตียงนอนอ้าขาสู้ตายไม่เหมือนตอนนี้
“พ่อฉันกับแม่ของเธอยังไม่กลับ”
“ทำไมยังไม่กลับ”
จากที่เอาแต่มองด้านนอก หันขวับคอแทบเคล็ดในทันที ลุงปุริมกับแม่ของตัวเองเดินทางไปต่างประเทศ จุดประสงค์หลักคือดูงานของนักธุรกิจชื่อดังระดับประเทศ จุดประสงค์รองคือการพักผ่อนหรือที่เรียกว่าฮันนีมูน
“ตกเครื่อง ได้ตั๋วบินกลับอีกทีคือวันมะรืน”
“ตกเครื่อง!!”
ตามกำหนดลุงและแม่ต้องมาถึงสนามบินนำไทยช่วงเย็นนี้ แต่เมื่อตกเครื่องเพราะการสื่อสารผิดพลาด ทำให้เลื่อนการเดินทางกลับออกไปอีกวัน เฌอเอมได้ยินก็แอบตกใจ คิดถึงแม่ก็มากเพราะห่างกันนานเป็นอาทิตย์ แล้วยังต้องมาหวั่น เมื่อต้องอยู่บ้านหลังนั้นตามลำพังกับพี่ชายนอกสายเลือด
“จะเข้าไปหา”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แล้วยังกระซิบแผ่วเบาในระยะแค่คืบ
“พี่วีร์”
“ซื้อยาด้วยล่ะ”
อีกแล้ว..ปวีร์จะขึ้นไปนอนด้วย หมายความว่าคืนนี้ต้องเสียตัวให้กับชายคนนี้อีกแล้วเหรอ แม้ว่าเธอจะสมยอมแต่ไม่เคยปรารถนาให้ร่างกายตัวเองปรนเปรอผู้ชายเพราะความใคร่ หากต้องมอบให้อยากให้มันเกิดจากความรัก แต่เปล่าเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากความเกลียดชังและหมายกลั่นแกล้ง เขาพูดกรอกหูเธอทุกครั้งหลังเสร็จกิจ เขาไม่ชอบขี้หน้าเธอ รวมถึงแม่ของเธอที่เข้ามาครองตำแหน่งภรรยาคนใหม่ของพ่อ ก็พลอยทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจไปใหญ่
“เมื่อไหร่พี่จะเลิกทำแบบนี้”
“...”
“บอกว่าเกลียดเอม ทำไมยัง-”
“จะหยุดก็ต่อเมื่อ...เธอกับแม่ออกไปจากบ้านหลังนี้”
คำนี้ถูกย้ำมาตลอด ปวีร์อยากให้สองคนแม่ลูกออกไปจากบ้านของเขา บ้านหลังที่เคยมีความสุขแบบพ่อแม่ลูก ทว่ามันพังทลายเพราะชญาณัฐเข้ามาเป็นมือที่สาม แต่นั่นเป็นความคิดอคติและไม่ยอมรับตั้งแต่แรก หลายครั้งเฌอเอมเคยขอออกไปอยู่เพียงลำพัง เหมือนว่าทนกับสิ่งที่เจอไม่ไหว ไม่กล้าบอกผู้ใหญ่เพราะรู้ดีว่าปวีร์ต้องโดนคนเป็นพ่อเล่นงานหนักมาก ทว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตจากปุริมผู้มีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยง อีกทั้งคนเป็นแม่ก็มองว่าลูกสาวยังเด็กเกินไปกับการออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง
แต่หารู้ไม่...การรั้งเธอไว้ในบ้านหลังนี้กลับกลายเป็นว่า ฝากเนื้อไว้กับเสือได้ละเลงร่างกายบำบัดความใคร่และความเกลียดชังมาเนิ่นนาน