บทที่ 3
ณ สนามบินคาตาเนียบนเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี
นาราภัทรถอนหายใจยาว เมื่อลงจากเครื่องบินมาเหยียบแผ่นดินของเกาะซิซิลีได้ในที่สุด ในตอนแรกนั้นเธอคิดว่าต้องไปพบกับคู่หมั้นของพี่สาวที่มิลาน หรือที่ไหนสักแห่งของเมืองใหญ่ๆ ในประเทศอิตาลี หญิงสาวไม่นึกว่าจะต้องเดินทางมายังเกาะซิซิลี ซึ่งเธอแทบจะไม่รู้จักเอาซะเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมายังที่แห่งนี้
“พี่เพิร์ลไปเรียนที่มิลาน แต่ทำไมถึงรู้จักและหมั้นกับนายคนนี้ได้นะ”
นาราภัทรบ่นกับตัวเอง เพราะไม่คิดว่าจะต้องถ่อสังขารนั่งเครื่องบินจากประเทศไทยนานนับสิบๆ ชั่วโมงมาไกลถึงที่นี่ และนอกจากจะต้องทรมานกับการนั่งเครื่องบินเป็นเวลานานๆ แล้ว ก่อนจะเดินทางมายังเกาะซิซิลี เธอถูกผู้อำนวยการโรงเรียนตำหนิจนหูชา ที่จู่ๆ ก็ลางานอย่างกะทันหัน
‘พอไปถึงสนามบินคาตาเนียแล้ว นาราเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่คฤหาสน์อัลซาโค้ร์ ซึ่งแท็กซี่ทุกคันรู้จักที่นี่ดี’
นาราภัทรนึกถึงคำพูดของพี่สาวที่บอกกับเธอเมื่อตอนมาส่งขึ้นเครื่องบิน หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อม ตรงไปยังจุดเรียกรถแท็กซี่ ซึ่งมีนับสิบๆ คันรอให้บริการ
หญิงสาวเลือกเดินทางไปยังคฤหาสน์อัลซาโค้ร์เป็นอันดับแรก แทนการหาโรงแรมที่พัก เผื่อว่าหากการทำหน้าที่ส่งจดหมายและแหวนหมั้นเป็นไปอย่างราบรื่น นายริคคาร์โด้ยอมรับฟังเหตุผลและรับแหวนหมั้นคืนอย่างง่ายดาย เธอก็จะได้เดินทางกลับมายังสนามบินคาตาเนีย และบินกลับประเทศไทยทันที
“อัลซาโค้ร์...คฤหาสน์อัลซาโค้ร์ หวังว่าเราจะออกเสียงถูกต้อง และแท็กซี่จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้นะ”
เจ้าของใบหน้างดงามบอกกับตนเอง ขณะเดินตรงไปยังแท็กซี่คันแรกที่มีคิวรับลูกค้ารายต่อไปคือเธอ พร้อมกับออกเสียงเรียกชื่อคฤหาสน์แห่งนี้
“อัลซาโค้ร์ ไปคฤหาสน์อัลซาโค้ร์ด้วยค่ะ”
นาราภัทรบอกกับคนขับแท็กซี่ จากนั้นก็เปิดประตูรถ และกำลังจะเข้าไปนั่งด้านหลังรถ แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำปฏิเสธห้วนๆ จากคนขับ
“ไม่ไป”
ร่างบางชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ ก่อนจะหันมาถามแท็กซี่อย่างงุนงง
“อะไรนะคะ ไม่ไปหรือคะ”
“ใช่ ไม่ไป” คนขับแท็กซี่ตอบเสียงห้วนๆ อีกครั้ง
นาราภัทรไม่แน่ใจว่าเธอออกสำเนียงเรียกชื่อคฤหาสน์ที่ว่าด้วยสำเนียงผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า แท็กซี่คันนี้จึงไม่ยอมไปส่งเธอ เพราะเท่าที่ทราบมา แท็กซี่ในต่างประเทศไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธผู้โดยสาร
“ฉันจะไปที่คฤหาสน์ อัล...ซาโค้ร์ ของริคคาร์โด้ ไปส่งฉันที่นี่ด้วยค่ะ”
คราวนี้นาราภัทรออกเสียงเรียกชื่อคฤหาสน์และชื่อเจ้าของคฤหาสน์อย่างช้าๆ และเน้นคำ เผื่อว่าคนขับจะฟังออกได้อย่างชัดเจน และขณะเรียกชื่อของเจ้าของคฤหาสน์ หญิงสาวไม่ได้สังเกตเลยว่าคนขับแท็กซี่มีสีหน้าถอดสี เผยอาการหวาดกลัวให้เห็น
“ไม่ไป ได้ยินไหมว่าไม่ไป”
เป็นคำตอบที่ชัดเจนสำหรับนาราภัทร ไม่ใช่แค่ปฏิเสธแต่ปากเท่านั้น เขายังเดินหนีไปรับผู้โดยสารคนอื่นแทนด้วย
“บ้าจริงๆ แท็กซี่ที่นี่ปฏิเสธผู้โดยสารได้ด้วยหรือ”
ถ้าอยู่ในประเทศไทย นาราภัทรเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่นึกว่าจะถูกแท็กซี่ที่นี่ปฏิเสธรับผู้โดยสาร
“ไม่ไปส่ง ก็ไม่ง้อ”
นาราภัทรสะบัดหน้าใส่คนขับ ก่อนจะเดินไปหาคันอื่นแทน ทว่าพอเดินไปถึงแท็กซี่คันที่อยู่ถัดไป หญิงสาวไม่ทันได้บอกว่าให้ไปส่งที่ไหน ก็ถูกปฏิเสธในทันที
“อัลซาโค้ร์ ผมไม่ไป”
คนขับอีกคันซึ่งได้ยินนาราภัทรคุยกับแท็กซี่คันแรก ชิงปฏิเสธก่อนที่ผู้โดยสารสาวจะบอกให้ไปส่งยังที่หมาย
“อะไรกัน ทำไมถึงปฏิเสธผู้โดยสารอีกแล้ว” นาราภัทรเริ่มบ่นด้วยความโมโห ใบหน้างดงามบูดบึ้งทันที
เมื่อแท็กซี่คันที่สองไม่ยอมไปส่งยังที่หมาย นาราภัทรก็ลากกระเป๋าไปหาแท็กซี่คันต่อไป แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมไปส่งเธอยังคฤหาสน์...อัลซาโค้ร์
ทั้งหิว ทั้งเหนื่อยจากการนั่งเครื่องนานเป็นสิบๆ ชั่วโมง คิดว่าจะได้เดินทางต่อไปยังคฤหาสน์ของผู้ชายที่ชื่อริคคาร์โด้ง่ายๆ แต่พอถูกปฏิเสธคันแล้วคันเล่า นาราภัทรก็เริ่มหงุดหงิดระคนอารมณ์เสีย
“บ้าจริงๆ ทำไมไม่มีใครไปส่งที่บ้านของนายริคคาโด้ร์ ไอ้คฤหาสน์อัลซาโค้ร์ มันเป็นคฤหาสน์ผีสิงหรือยังไง ถึงไม่มีมนุษย์หน้าไหนไปส่งฉัน”
และคำบ่นแกมพรุสวาทของนาราภัทร ก็ทำให้ผู้ชายหล่อเหลาในชุดสูทสีดำสนิท ใส่แว่นตาดำ ซึ่งยืนเฝ้ามองเธออยู่นานแล้ว ตั้งแต่ได้ยินว่าให้แท็กซี่ไปส่งยังคฤหาสน์อัลซาโค้ร์ ถึงกับหัวเราะฮึๆ อยู่ในลำคอด้วยความขบขำที่หญิงสาวเข้าใจตั้งฉายาให้กับคฤหาสน์ราคาร้อยล้านของตระกูลอัลซาโค้ร์ ว่าเป็นคฤหาสน์ผีสิง!
เสียงหัวเราะที่ดังอยู่ข้างหลัง เรียกให้นาราภัทรหันขวับไปมองในทันที เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะเยาะหยันเธออย่างแน่นอน จึงตวาดแว้ดใส่อย่างไม่นึกเกรงกลัว
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ”
มาคอส อัลซาโค้ร์ ยักไหล่ ทำหน้ายียวนใส่หญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะตอบกวนๆ ด้วยน้ำเสียงยียวนกลับไป “ก็หัวเราะคุณ ที่ไม่มีใครยอมไปส่งยังคฤหาสน์อัลซาโค้ร์”
“มันน่าหัวเราะตรงไหน กับอีแค่ไม่มีใครยอมไปส่งที่คฤหาสน์ผีสิงนั่น”
มาคอสแทบสำลักกับคำพูดในตอนท้ายของหญิงสาว ที่บังอาจเรียกคฤหาสน์ของตระกูลอย่างเสียหาย แต่ถึงแม้หญิงสาวนัยน์ตากลมโตจะเรียกคฤหาสน์ของตระกูลอัลซาโค้ร์ว่าอย่างไร เขาก็ไม่นึกโกรธ เพราะกำลังให้ความสนใจและอยากรู้ว่าหญิงสาวคนนี้จะไปที่คฤหาสน์ของพวกเขาทำไม
และเพราะได้ยินเธอผู้นี้พูดถึงการเดินทางไปยังคฤหาสน์ ทำให้เขาต้องอยู่เฝ้าดูด้วยความสนใจ
“จริงๆ ก็ไม่น่าหัวเราะสักเท่าไรหรอก ที่ไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมไปส่งคุณ จะว่าไปผมสงสารคุณซะมากกว่า เพราะเท่าที่ผมยืนดูอยู่ รู้สึกว่าคุณจะเรียกแท็กซี่สิบคันได้แล้วมั้ง”
นาราภัทรชักโมโหอีกระลอกที่ถูกผู้ชายที่ไม่รู้จักมักจี่มาต่อว่าเอา “ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมาสงสารฉัน ถอยไป ฉันจะไปเรียกรถคันอื่น มันต้องมีสักคันที่ยอมไปส่งฉันที่คฤหาสน์ผีสิง”
“เอาหัวเป็นประกันไหมล่ะ ต่อให้คุณเรียกวันนี้ทั้งวัน ก็ไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมไปส่งคุณ”
แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งว่าไม่มีแท็กซี่คันไหนกล้าไปเหยียบถึงถิ่นของมาเฟียดังแห่งเกาะซิซิลี อย่าว่าแต่เข้าไปเหยียบเลย แค่เข้าไปใกล้ขอบรั้วกำแพงของคฤหาสน์อัลซาโค้ร์ ยังไม่สามารถทำได้เลย
เจอผู้ชายตรงหน้า ซึ่งนอกจากจะหล่อเหลาแล้ว ยังแลดูน่าเกรงขาม ท้าทายด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอานาราภัทรเริ่มลังเลเหมือนกัน เพราะเห็นอยู่แล้วว่าไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมไปส่งเธอเลย
“ดูเหมือนคุณจะรู้เรื่องเกี่ยวกับคฤหาสน์อัลซาโค้ร์เป็นอย่างดี”
“ผมรู้ทุกซอก ทุกมุม ทุกตารางนิ้วของคฤหาสน์หลังนี้” มาคอสตอบรับเสียงหนักแน่น
นาราภัทรหรี่ตามองผู้ชายตรงหน้า อยากรู้ขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าผู้ชายคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับคฤหาสน์อัลซาโค้ร์ และเขารู้จักผู้ชายที่ชื่อ ‘ริคคาร์โด้’ มากเพียงใด
“คุณรู้จักกับคนที่ชื่อริคคาร์โด้ ที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์อัลซาโค้ร์ด้วยหรือคะ”
“รู้จักสิ” มาคอสตอบสั้นๆ ไม่ยอมขยายความไปมากกว่านี้
“ดูท่าทางคุณจะรู้จักที่นั่นดีเหลือเกิน เคยไปที่นั่นหรือคะ”
“ไม่ใช่แค่เคยไป แต่ผมอยู่ที่นั่น” ตอบไปแล้ว มาคอสก็หัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะพูดเสียงกลั้วเสียงหัวเราะต่อ “ผมเป็นคนสวนที่นั่น ก็เลยรู้จักคฤหาสน์อัลซาโค้ร์เป็นอย่างดี”
“ไปหลอกเด็กอมมือเถอะค่ะ คนสวนบ้าอะไร แต่งตัวยังกับพวกมาเฟีย”
คราวนี้มาคอสหัวเราะดังลั่น เมื่อถูกเหน็บแทงใจดำ กระนั้นก็ยังยืนกรานว่าตนเองเป็นคนสวนอยู่
“อ้าว ไม่เชื่ออีกว่าผมเป็นคนสวน”
นาราภัทรเหนื่อยที่จะตอแยกับผู้ชายคนนี้ อีกทั้งยังอยากไปส่งพัสดุให้ถึงมือผู้ชายที่ชื่อริคคาร์โด้ให้เร็วที่สุด จึงโบกมือว่อน พูดตัดรำคาญในทันที
“ช่างคุณเถอะ คุณจะเป็นใคร ฉันไม่สนใจทั้งนั้น ขอบคุณที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคฤหาสน์ผีสิง”
นาราภัทรเดินหนีทันทีที่พูดจบ แต่ร่างบางระหงเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกมือใหญ่ของมาคอสคว้าต้นแขนเนียนไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิคุณ จะรีบไปไหนครับ”
นาราภัทรหันขวับ ถลึงตาเขียวใส่ พร้อมกับตะคอกสั่งเสียงห้วนจัด “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“โอเค ปล่อยก็ได้”
เจอสายตาที่ถลึงจ้องมองเขม็งไม่ต่างจากนางพญา มาคอสจำต้องปล่อยต้นแขนเล็กในที่สุด
“คุณต้องการไปคฤหาสน์อัลซาโค้ร์ไม่ใช่หรือ ผมจะไปที่นั่นอยู่แล้ว คุณไปพร้อมกับผมเลยก็ได้”
“ไม่ ขอบคุณ” นาราภัทรปฏิเสธและกล่าวขอบคุณเสียงแข็ง ก่อนจะเดินหนีอีกครั้ง แต่มาคอสก็เดินมาดักหน้าไว้เช่นเคย
“ทำไมคุณไม่ไปที่คฤหาสน์อัลซาโค้ร์กับผม”
มาคอสถามอย่างเอาเรื่อง เพราะไม่มีใครกล้าปฏิเสธคนอย่างเขา แต่พอถูกนาราภัทรสะบัดหน้าหนี ก็ชักจะไม่พอใจ
“ฉันไม่ไว้ใจคุณ ฉันไม่รู้จักคุณ ฉันไม่มีทางไปกับคุณเด็ดขาด และไม่เชื่อด้วยว่าคุณจะเป็นแค่คนสวนที่คฤหาสน์อัลซาโค้ร์เหมือนอย่างที่พูดตะกี้นี้ หน้าตาของคุณมันบ่งบอกว่าเป็นพวกมาเฟียชัดๆ”
นาราภัทรตอกหน้ามาคอสชุดใหญ่ ไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นแค่เพียงคนสวน เธอไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าชุดสูท รวมทั้งเครื่องประดับที่ชายผู้นี้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา นาฬิกา หรือแม้กระทั่งแหวนที่เขาสวมติดนิ้วก้อย ล้วนแต่เป็นของแบรนด์เนมและมีราคาแพงทั้งสิ้น
มาคอสเลิกเล่นละคร ชายหนุ่มถอดแว่นตาออก เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าคมกริบ ก่อนจะเอ่ยต่อรองกับนาราภัทรเสียงเข้ม
“ถ้าคุณยอมบอกว่ามีธุระอะไรถึงต้องการไปที่คฤหาสน์อัลซาโค้ร์ให้ผมรู้ ผมก็จะยอมบอกเหมือนกันว่าผมเป็นใคร”
“หวังว่าคุณคงไม่ใช่ริคคาร์โด้ อัลซาโค้ร์หรอกนะ” นาราภัทรเหน็บแนมไม่เต็มเสียงนัก ไม่คิดว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนที่เธอกำลังตามมาหาอยู่