บทที่ 2 ตื่นจากฝัน
บทที่ 2
ตื่นจากฝัน
รัชศกเซวียนหย่ง ปีที่สิบห้า
ย้อนกลับมาเมื่อห้าปีก่อน
“...หนู...คุณหนู”
“...!”
หลี่หงหลินสะดุ้ง เมื่อเสียงเรียกเล็กน่ารักกระทบเข้ามาในโสต พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็น ‘ฟางเอ๋อร์’
ผ่านไปสักครู่ นางเพิ่งตระหนักถึงความจริงว่าฟางเอ๋อร์ในความทรงจำได้ถูกเฝิงเจี้ยนไล่ออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลี่ในคดีลักทรัพย์ พ่อแม่ของฟางเอ๋อร์ใช้เงินทั้งหมดที่มี ทั้งติดสินบนเจ้าหน้าที่ ทั้งชดใช้คืนให้กับเฝิงเจี้ยน แม้ว่าเงินส่วนนั้นไม่ได้มากมายนัก แต่ก็ไถ่ตัวฟางเอ๋อร์ออกจากคุกได้สำเร็จ
ตอนนั้นหลี่หงหลินช่วยอะไรฟางเอ๋อร์ไม่ได้ นางที่หูตามืดบอดเพราะความรัก เชื่อคำลวงของเจ้าขยะเฝิงเจี้ยน รู้สึกผิดหวังที่ฟางเอ๋อร์ทรยศต่อความไว้ใจนาง
ทว่า...
ช้าก่อน!
ตอนที่ฟางเอ๋อร์ถูกเฝิงเจี้ยนไล่ออกจากคฤหาสน์ ตอนนั้นฟางเอ๋อร์อายุสิบเจ็ด เป็นสาวงามวัยสะพรั่ง แล้วไหงตอนนี้ถึงกลายเป็นเด็กน้อยวัยสิบสองที่ยังไม่ได้ปักปิ่น
หลี่หงหลินบีบแก้มกลมยุ้ยพลางกวาดตามองฟางเอ๋อร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมดำนุ่มลื่นของเจ้าเด็กน้อยม้วนเป็นก้อนซาลาเปาสองลูก ผูกด้วยโบว์สีเขียวอ่อน ก่อนเข้าวัยปักปิ่นฟางเอ๋อร์ชอบทำผมแบบนี้
เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของแม่ครัวในคฤหาสน์ ฟางเอ๋อร์ทั้งน่ารักและขยัน เลยได้รับความเอ็นดูจากทุกคนในคฤหาสน์ นอกจากนี้ฟางเอ๋อร์ยังติดหลี่หงหลินแจ
“ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไร”
“อะ...เอ๊ะ!?” ฟางเอ๋อร์ตัวน้อยทำหน้าตกใจ
หลี่หงหลินจับไหล่เล็กๆ พร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโตสุกใสอย่างรอคอย
“สิบสอง...เจ้าค่ะ” ฟางเอ๋อร์ตอบทั้งที่งุนงง
คำตอบนั้นยิ่งทำให้หลี่หงหลินสับสน ขณะเดียวกันก็ทำให้นางพอใจจนน้ำตาคลอรื่น
“คุณหนู?”
หลี่หงหลินรีบปาดน้ำตาตรงหางตาแล้วเปลี่ยนท่าที
“ไม่มีอะไร”
หากฟางเอ๋อร์อายุสิบสอง เช่นนั้นนางเองก็...
หลี่หงหลินรีบก้าวลงจากเตียง เดินไปหยุดหน้ากระจก จ้องมองใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในนั้น
หลี่หงหลินก่อนแต่งงานกับเฝิงเจี้ยนเป็นช่วงย่างเข้ายี่สิบ งดงามสมวัยสาว แต่หลังจากแต่งงานแล้ว นางค่อยๆ ทรุดโทรมลงเพราะปัญหาหลายเรื่องที่ถาโถมเข้ามา
นางในตอนนี้ไม่ได้ดูอิดโรยอ่อนล้า ไม่ได้ซูบผอมหรือซีดเฉียว ไม่ได้เหมือนคนที่ผ่านความทุกข์มานักต่อนัก
ห้าปีหลังจากแต่งงานกับเฝิงเจี้ยน หลี่หลงหลินได้รับผลกระทบกระเทือนจากการสูญเสียหลายครั้งหลายครา จากหญิงสาวที่เคยสดใสกลับกลายเป็นคนไร้ชีวิตชีวา
แน่นอนว่า ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วเพราะนางย้อนเวลากลับมาเมื่องห้าปีก่อน
“คุณหนู ทำไมเอาแต่จ้องกระจกหรือ” ฟางเอ๋อร์ตัวน้อยถามอย่างไม่เข้าใจ
“เมื่อครู่ข้าฝันร้าย”
“ฝันร้ายหรือ”
“ใช่ มันเป็นฝันร้ายที่ยาวนานและสมจริงมาก ถ้าให้ข้าเล่าตอนนี้คงไม่จบง่ายๆ แต่ว่า พอข้าตื่นขึ้น แล้วได้เจอฟางเอ๋อร์ตัวน้อย ข้าถึงได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร” นางพูดคลุมเครือพร้อมลูบศีรษะของฟางเอ๋อร์
เด็กหญิงยิ้มสดใส พยักหน้าทีหนึ่ง สักครู่ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก
“ลืมเลยเจ้าค่ะ นายท่านไม่เห็นคุณหนูออกไปทานข้าวเช้าก็เลยให้ข้ามาตาม”
ท่านพ่อ...
(ท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือ)
หลี่หงหลินคิดอย่างตื่นเต้น
หลังจากนางแต่งงานกับเฝิงเจี้ยนได้หนึ่งปี ท่านพ่อล้มป่วยกะทันหัน หมอวินิจฉัยว่าเป็นเพราะร่างกายอ่อนล้าจากการทำงานหนัก แต่ไม่คิดเลยว่า ยิ่งดื่มยาบำรุงร่างกายของท่านพ่อจะยิ่งทรุดลงเรื่อยๆ หมอมากฝีมือที่สุดในเมืองเจียงไฉ่อย่างหมอว่านเส้าถังก็ไม่อาจรักษาได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น น้ำตาของหลี่หงหลินก็คลอรื่นอีกครั้ง
หลี่หงหลินสูญเสียท่านแม่ตอนอายุสามขวบ ท่านพ่อเลี้ยงดูนางมาเพียงลำพัง แม้ว่าท่านปู่จะบังคับให้ท่านพ่อแต่งงานใหม่ แต่ท่านพ่อมีใจแน่วแน่ รักท่านแม่เพียงคนเดียว ท่านปู่โมโหมากจึงส่งท่านพ่อกับนางให้มาอยู่เมืองเจียงไฉ่ อ้างว่าสืบทอดกิจการทางนี้ชั่วคราว แต่จนแล้วจนรอด ท่านปู่ก็ไม่ยอมเรียกตัวท่านพ่อกลับเมืองหลวง ทางตรงกันข้าม ท่านพ่อชอบเมืองเจียงไฉ่อันเงียบสงบ และยังดูแลกิจการของตระกูลหลี่จนมีชื่อเสียง
ระหว่างคิดเรื่องเหล่านั้น ฟางเอ๋อร์ตัวน้อยดึงแขนของหลี่หงหลินเบาๆ แล้วบอกให้นั่งลง
“ข้าจะช่วยแปรงผมให้คุณหนู”
หลี่หงหลินยิ้มน้อยๆ ให้กับเด็กหญิง
ครู่ต่อมา ‘ไป๋เหมียว’ สาวใช้ติดตามหลี่หงหลินและยังคอยดูแลเรื่องภายในเรือนแห่งนี้ก็ยกน้ำอุ่นเข้ามาให้
“น้ำล้างหน้าเจ้าค่ะ คุณหนู”
ไป๋เหมียววางอ่างล้างหน้าไว้บนโต๊ะข้าง ใช้ผ้าชุบน้ำบิดพอหมาดก่อนบรรจงซับใบหน้าของคุณหนู
ยามนี้ หลี่หงหลินพูดสิ่งใดไม่ออก
ไป๋เหมียวกับฟางเอ๋อร์อยู่ตรงนี้ คนหนึ่งมิได้ถูกโบยจนตาย อีกคนก็ไม่ได้ถูกส่งเข้าคุก ดีจริงๆ ดียิ่งนัก...
ทั้งสองช่วยกันปรนนิบัติหลี่หงหลินด้วยความเอาใจใส่
ถ้าไม่มีฝันร้ายนั้น ช่วงเวลานี้ช่างสงบสุขอย่างยิ่ง
หลังจากล้างหน้าแปรงผมเสร็จเรียบร้อย หลี่หงหลินในชุดสีฟ้าอ่อนสบายตาเดินมายังเรือนส่วนหน้า ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร นางเผลอชะงักเท้าครู่หนึ่ง ท่านพ่อยังคงนั่งอยู่ตรงที่ประจำ จิบชาอ่านหนังสือ สีหน้ามีชีวิตชีวา
นางหยิกหลังมือตัวเองแรงๆ
ความเจ็บที่หลังมือช่วยย้ำว่ามันไม่ใช่ความฝัน
หลี่หงหลินยกมือขึ้นปิดปาก พยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้
ท่านพ่อของนาง...ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ คราวนี้นางจะปกป้องท่านพ่อและทุกคนเอาไว้ให้ได้!
จังหวะนั้น หลี่อันเล่อเงยหน้าขึ้น เห็นบุตรสาวเอาแต่ยืนเหม่อจึงร้องเรียก
“หงหลิน?”
นางดึงสติกลับ เช็ดน้ำตาแล้วเดินเข้าไปที่โต๊ะ
“หน้าตาเจ้าดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือ เหตุใดไม่บอกพ่อ” หลี่อันเล่อลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงเข้ามาหาถามบุตรสาวอย่างเป็นห่วง
นางส่ายหน้า ก่อนจะโผกอดบิดา
แม้แปลกใจ แต่หลี่อันเล่อก็หัวเราะเบาๆ พลางลูบแผ่นหลังของบุตรสาว “เกิดอะไรขึ้นกับหงหลินของพ่อ ฝันร้ายหรือ?”
นางพยักหน้าเบาๆ อย่างยอมรับ
“เอาละ พ่ออยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวฝันร้ายนั่นแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
ทุกครั้งที่หลี่หงหลินฝันร้าย นางมักจะอ้อนบิดาเช่นนี้เสมอ
“มา มานั่งตรงนี้ จิบชาให้สบายใจก่อน”
หลี่หงหลินเดินไปนั่งเก้าอี้ พอสบายใจขึ้นแล้ว นางนั่งกินข้าวเช้ากับท่านพ่อ
ช่วงเวลานี้ หลี่กุ้ยเฟยยังไม่ได้ตกลงกับราชครูเฝิงเรื่องหมั้นของหลี่หงหลินกับเฝิงเจี้ยน ยังไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ปัญหาคือต้องจัดการความสัมพันธ์ที่มีต่อเฝิงเจี้ยนเสียก่อน
หลังจากทานข้าวเช้าอิ่มเรียบร้อย หลี่อันเล่อออกจากคฤหาสน์เพื่อไปดูร้านแต่ละสาขาในเมืองเจียงไฉ่
หลี่หงหลินเข้าห้องหนังสือ ก่อนแยกย้ายกับท่านพ่อ นางขอยืมคนจากท่านพ่อคนหนึ่ง
‘ฉิงฉี’ คือหัวหน้าองครักษ์ประจำคหาสน์ ปกติจะคอยตามหลังเพื่อคุ้มกันท่านพ่อ แต่คราวนี้ หลี่หงหลินต้องการมอบหมายงานสำคัญให้ทำ และมีแค่ฉิงฉีเท่านั้นที่ทำได้
“คุณหนูเรียกข้าหรือ”
หลี่หงหลินเงยหน้าจากหนังสือ จากนั้นพยักหน้าตอบรับ
ตอนที่หลี่อันเล่อกับหลี่หงหลินถูกวางยาจนเสียชีวิต ฉิงฉีไม่ได้เอะใจนั้น เรื่องนี้ไม่โทษฉิงฉี เพราะขนาดหมอฝีมือดีของเมืองยังตรวจไม่พบความผิดปกติ อีกอย่าง เฝิงเจี้ยนใช้ลูกไม้ค่อยๆ วางยาทีละนิด สร้างสถานการณ์ทำเหมือนว่าท่านพ่อของนางป่วยเสียชีวิต ส่วนนางคลอดลูกยากจนตาย
ตอนเป็นวิญญาณล่องลอย ฉิงฉีที่สูญเสียดวงตาข้างหนึ่ง สวมใส่เสื้อผ้าโทรมๆ มาเคารพศพนาง เขาโทษว่าเป็นความผิดของตนที่ปกป้องนางกับท่านพ่อไม่ได้
เขาเป็นองครักษ์ที่ซื่อสัตย์ เพียงแต่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกตระกูลเฝิงเท่านั้น
“ฉิงฉี ข้ามีงานให้ท่านทำ”
ฉิงฉีผงกศีรษะรอรับคำสั่ง
“ท่านช่วยไปตรวจสอบเรื่องหนึ่งให้ข้าที”
จากนั้น หลี่หงหลินก็เข้าเรื่อง ขณะพูดนางทำหน้าลึกลับและจริงจัง พอเห็นแบบนี้ สีหน้าของฉิงฉีพลอยจริงจังไปด้วย