ตอนที่ 5 ไม่กลัวแต่เกรงๆ ค่ะ
บุรนีย์เดินตามรณพัชร์ไปเรื่อยๆ โดยที่เขาเองก็ดูสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไก่ เป็ด วัว หมู แล้วก็ม้า แล้วพื้นที่ในการใช้เลี้ยงสัตว์ก็มีขนาดที่ใหญ่คล้ายเลี้ยงแบบเปิดแต่ก็ไม่ใช่ ที่สำคัญสะอาดและเป็นระเบียบมากเช่นเดียวกัน เมื่อเขาพูดคุยกับสัตว์แพทย์ประจำไร่เสร็จแล้วก็พาเธอขับรถมาที่โซนของผลไม้ประจำฤดูกาล เมื่อรณพัชร์จอดรถบุรนีย์ก็ลงจากรถและมองไปรอบๆ บริเวณนี้ส่วนมากก็ล้วนเป็นส้มพร้อมทั้งได้เสียงของรณพัชร์พูดขึ้นมา
“เก็บส้มได้สองเข่งแล้วจะพากลับบ้าน”
รณพัชร์บอกบุรนีย์และเดินนำหน้ามาที่ต้นส้มสายน้ำผึ้งต้นหนึ่ง ซึ่งสวนของเขาปลูกส้มสายน้ำผึ้ง ส้มบางมด และส้มเขียวหวาน ซึ่งปลูกไว้สายพันธุ์ละ 100 ต้น ตอนนี้ทุกต้นก็สามารถเก็บได้แล้ว รอบนี้เป็นรอบแรกที่ตัดก็จะขายได้ในราคาที่สูง ซึ่งเขาเองก็จะพาว่าที่ภรรยาของเขาเรียนรู้และทำงานให้ครบทุกส่วน อาจจะไม่ได้พาเข้ามาทำทุกวันแต่เป็นภรรยาของเจ้าของไร่อะไรที่ควรรู้บุรนีย์ก็ควรศึกษาเอาไว้ เพราะวันข้างหน้าหากเขาเป็นอะไรไปเธอจะได้ดูแลและจัดการทุกอย่างได้
“ค่ะ นี่ส้มอะไรหรือคะ”
“ส้มเขียวหวาน”
“ชิมได้ไหมคะ”
บุรนีย์มองลูกส้มที่ดกเต็มต้นก่อนจะหันมาถามรณพัชร์ด้วยแววตาที่คาดหวังในคำตอบ เพราะเธออยากจะมีโอกาสเด็ดส้มจากต้นแบบนี้มานานแล้ว และเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้าเธอก็ไม่รอช้า
“ได้ ว่าแต่ หล่อนเด็ดถึงหรือ”
“บุไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นเสียหน่อย นี่ไงคะ บุเด็ดได้“
“ก็กิ่งมันต่ำขนาดนี้หากเด็ดไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว”
รณพัชร์มองบุรณีย์ด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง เพราะเพียงแค่เด็ดส้มจากกิ่งต่ำๆ ก็ดูท่าทีภูมิใจมากขนาดนี้ซะแล้ว หากเก็บได้ทั้งต้นเห็นทีเจ้าหล่อนคงคุยไปยันลูกบวช เมื่อคนงานยกเข่งไม้ไผ่สาน กรรไกรสำหรับตัดกิ่งและถุงมือมาให้สองชุดรณพัชร์ก็สวมถุงมือและลงมื้อทำงานในทันทีโดยที่ละสายตาไปมองบุรนีย์ที่กำลังเคี้ยวส้มจนแก้มพองเป็นระยะก่อนจะแอบหัวเราะออกมาเบาๆ ผู้หญิงอะไร แค่มีของกินตรงหน้าเพียงแค่นี้ก็เหมือนเจอหีบสมบัติ รณพัชร์ตัดลูกส้มออกจากกิ่งและใส่ลงในเข่งและเอ่ยถามบุรนีย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“แล้วรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
“อร่อยมากเลยค่ะ หวานชื่นใจ อมเปรี้ยวนิดๆ กลิ่นหอมมาก แล้วผลส้มก็สวยมากเลยค่ะ”
บุรนีย์ผู้ที่ชอบทานส้มอยู่แล้วเมื่อได้ลิ้มรสก็ตอบรณพัชร์ออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แล้วเธอรู้สึกไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ รู้สึกว่าพอเด็ดส้มแล้วแกะทานเลยมันได้กลิ่นหอมของส้มที่ชัดเจนมากๆ ทั้งกลิ่นและรสชาติมันเลยทำให้อร่อยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว พอทานเข้าไปทำให้รู้สึกสดชื่นมากๆ
“อืม ลูกสวยก็ได้ราคาดี ลูกไม่สวยราคาก็จะลดลงมาเล็กน้อย”
“แต่เวลาบุไปซื้อไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวยก็ราคาเท่ากันนะคะ”
“ฮึ นั่นก็เป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือผลไม้เพิ่งออกคนรับไปขายเร็วก็จะได้ราคาที่สูง แต่ถ้ามีร้านขายเพิ่มขึ้น ผลผลิตออกเยอะมากขึ้นราคาก็จะลดลงมา แต่บางร้านก็จะเอาผลที่ไม่สวยไปขายราคาแพงเพื่อต้องการกำไรเยอะๆ”
“แบบนี้ต้องคัดเลือกไหมคะ”
“รอบนี้เป็นรอบแรกที่ตัดส่วนมากลูกของเขาจะสมบรูณ์เป็นอย่างมาก ส่วนมากก็ไม่ต้องเสียเวลาคัดเลือกเลย เพราะมันใช้ได้เกือบทั้งหมด แต่ใช่ว่าเราจะปล่อยปะละเลย เมื่อตัดมาก็ต้องพิจารณาว่ามันสมบูรณ์หรือไม่ หากไม่เราก็จะคัดทิ้ง ลูกไหนที่ดูแล้วมันไม่ดีก็ต้องทิ้ง เพื่อเวลาคนที่เขารับไปขายจะได้ผลิตที่ดีไปขายต่อ”
“แบบนี้นี่เอง แล้วทำไมทุกคนล้วนกลัวพ่อเลี้ยงล่ะคะ พ่อเลี้ยงดุหรือคะ”
รณพัชร์ปรายตามองหญิงสาวที่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ โดยที่ปากน้อยๆ นั้นก็ยังเคี้ยวส้มไปด้วย รณพัชร์เลือกที่จะไม่ตอบและถามกลับไปแทน
“แล้วหล่อนไม่กลัวฉันหรือ”
“เกรงๆ ค่ะ เพราะว่าบุเพิ่งเจอกับพ่อเลี้ยง เลยยังไม่สนิทใจแต่ก็ไม่ได้กลัวขนาดที่ว่าไม่กล้าพูดคุยค่ะ”
บุรนีย์มองรณพัชร์และตอบเขากลับไปตามความรู้สึกของตน เพราะในสายตาของเธอรณพัชร์ก็ไม่ได้น่ากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้หรือพูดคุยด้วย บางมุมเธอก็มองว่ารณพัชร์มีด้านที่ใจดีมากกว่าน่ากลัวเสียอีก”
“อืม หล่อนเป็นคนแรกนะ ที่ตอบแบบนี้”
“บุพูดตามความจริง ว่าแต่ ตรงไหนมีที่จะทิ้งเปลือกส้มได้บ้างคะ”
“ก็โยนไปใต้ต้นมันนั่นแหละ”
รณพัชร์มองเปือกส้มในมือของหญิงสาวที่ตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังหันไปหันมาเพื่อหาที่ทิ้ง
“ไม่ได้หรอกค่ะ มันจะดูไม่เรียบร้อย”
บุรนีย์ตอบรณพัชร์กลับไปพร้อมส่ายศีรษะไปมาเบาๆ เพระาเธอก็ไม่สะดวกใจที่จะทิ้งมันไป เพราะจะทำให้พื้นที่ไม่สะอาด แต่พอได้ยินเขาพูดออกมาก็ทำให้เธอส่งเปลือกส้มในมือให้้้เขาอย่างเสียไม่ได้
“เอามา”
ฟิ้ว ตุบ
รณพัชร์รับเปลือกส้มในมือของบุรนีย์มาจากนั้นก็โยนมันไปใต้ต้นส้มอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเดี๋ยวมันก็ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยไปเอง
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”
บุรนีย์มองรณพัชร์ด้วยความตกตะลึง เพราะเธอเพิ่งจะพูดไปเองว่าถ้าหากโยนทิ้งไปมันจะทำให้พื้นที่ไม่สะอาดแต่เขากลับโยนไปแบบไม่ใส่ใจ บุรนีย์จึงเดินไปเก็บเปลือกส้มที่เขาโยนทิ้งใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงของตน เดี๋ยวหากเจอที่ทิ้งได้ค่อยเอามันทิ้งไป
“หล่อนจะเก็บใส่ให้มันเปื้อนกางเกงทำไม ทิ้งไว้แล้วมันก็กลายเป็นปุ๋ย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ บุรู้สึกไม่ดี”
“เรื่องมากเสียจริง มาทำงานได้แล้ว มัวแต่วิ่งไปวิ่งมายังไม่ได้ส้มสักลูก หากหล่อนทำงานรับเงินเห็นทีทำทั้งวันก็ไม่ได้เงิน”
“แล้วถ้าหากบุตัดส้มได้สองเข่งก็จะได้เงินเดือนหรือคะ”
รณพัชร์เลิกคิ้วก่อนจะหยุดตัดส้มและหันมามองบุรนีย์ที่มองมาที่เขาก่อนอยู่แล้ว แล้วหล่อนไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวเขาเหมือนดั่งคนอื่นแถมยังกล้าต่อรองเสียด้วย แต่รณพัชร์ก็อยากจะเห็นว่าหล่อนจะทำได้เหมือนดังที่คุยหรือไม่จึงตอบกลับไป
“ถ้าหากหล่อนตัดได้สองเข่งฉันก็จะให้เงินค่าจ้างเหมือนดังคนอื่น”
“ค่ะ”
บุรนีย์ยิ้มพร้อมตอบเขากลับไปอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียที่มั่นใจปนดีใจ เพราะตั้งแต่ศึกษาเล่าเรียนจนจบเธอเองก็ยังไม่ได้ออกไปทำงานเหมือนดั่งคนอื่น นี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอจะหาเงินได้ด้วยตนเอง เมื่อคิดได้ดั่งนั้นบุรนีย์จึงหันมาใส่ถุงมือและหยิบกรรไกรสำหรับตัดกิ่งขึ้นมาตัดลูกส้ม แต่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องเอาเฉพาะลูกหรือตัดทั้งกิ่ง ในตอนที่รณพัชร์ตัดเธอเองก็มัวแต่ดื่มด่ำกับรสชาติของส้ม บุรนีย์จึงแอบมองรณพัชร์แต่เขาก็ตัดเร็วเหลือเกิน หากตัดผิดจะทำอย่างไร เพราะเขาไม่ได้เก็บเอาไว้กินแต่ตัดเพื่อส่งไปขายหากเกิดอะไรผิดพลาดเห็นทีคงจะไม่ดี เมื่อคิดได้ดังนั้นบุรนีย์จึงเอ่ยถามออกไปอย่างเสียไม่ได้
“เอ่อออ พ่อเลี้ยงคะ มันต้องอย่างไรหรือคะ”
เมื่อรณพัชร์ได้ยินเสียงของบุรนีย์จึงวางส้มที่ตัดแล้วลงในเข่งจากนั้นก็ขยับมาใกล้บุรนีย์และเริ่มอธิบายการตัดผลส้มให้เธอฟังอย่างใจเย็น เพราะดูแล้วเจ้าหล่อนดูท่าจะตั้งใจไม่ได้ทำแบบขอไปที
“ตัดที่ขั้วมันและให้ติดใบมาด้วย 1-2 ใบ แบบนี้ จากนั้นก็เอาวางใส่เข่ง แต่หากลูกไหนมีช่อใบใกล้ขั้วก็ตัดมันออกมาเลย เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจค่ะ”
“หากเข้าใจก็ลองตัดมาดูสักลูก”
“ค่ะ”
เมื่อบุรนีย์ตั้งใจฟังในตอนที่รณพัชร์อธิบายก็ทำให้เธอเข้าใจวิธีการตัดลูกส้ม เมื่อรณพีชร์บอกให้ลองตัดบุรนีย์จึงตัดลูกส้มที่อยู่ตรงหน้าโดยที่ตัดใบของส้มมาด้วยสองใบ เมื่อตัดได้เธอจึงหันมาถามรณพัชร์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“แบบนี้ถูกต้องหรือไม่คะ”
“อืม ถูกต้อง หากมีอะไรก็เรียก”
เมื่อเห็นรณพัชร์เห็นว่าบุรนีย์เข้าใจในการตัดส้มเขาก็หันมาตัดของเขาเช่นเดียวกัน โดยที่เธอเองก็เรียกถามเขาเป็นระยะว่าลูกนี้ใช้ได้หรือไม่ แต่เมื่อเข้าใจเธอก็ไม่ได้เรียกเขาบ่อยเหมือนเช่นเดิม จากนั้นทั้งเขาและบุรนีย์ก็ตัดส้มลงเข่งของตนเองไปเรื่อยๆ
แอ็ง แอ็ง
ในขณะที่บุรนีย์กำลังมีสมาธิอยู่กับการตัดส้มใส่เข่งก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงของหมาแว่วขึ้นมา เธอจึงหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่ามีพุ่มไม้อยู่ไม่ไกลมากเกินการสั่นไหว เมื่อปรายตามองไปที่รนพัชร์ก็เห็นว่าเขากำลังตัดส้มลงเข่งอยู่เงียบๆ เธอจึงวางกรรไกรลงในเข่งแล้วก็เดินไปที่พุ่มไม้ที่มีน้ำขังอยู่บริเวณรอบๆ จึงทำให้พื้นดินบริเวณนั้นแฉะและเลอะเล็กน้อย เธอจึงค่อยๆ ก้มมองและหาความปิดปกติเมื่อก้มเข้าไปใกล้ขึ้นและใช้มือแหวกพุ่มไม้ก็เห็นลูกหมาตัวน้อยที่กำลังพยายามตะกายออกมาจากรากไม้ที่พันขา แต่หมาตัวน้อยตัวนี้น่ารักน่าชังจัง ขนท่าจะนุ่มน่าดู ตัวสีขาวมีลายสีน้ำตาลขึ้นบริเวณตา คล้ายว่าเป็นลูกคลอดแล้วเพิ่งลืมตาได้ไม่นานเอง เพราะดูจากท่าทางการเอาตัวรอดของหมาน้อยตัวนี้ จับอาบน้ำสักหน่อยคงจะน่ารักเพิ่มอีกเท่าตัวแน่ๆ เมื่อเห็นดังนั้นบุรนีย์จึงก้มๆ เงยๆ และใช้มือพยายามจับสุนัขตัวน้อยออกมา แต่พยายามอยู่นานก็ยังไม่สำเร็จ เพราะสุนัขอยู่ลึกจากที่เธอยืนเธอจึงตัดสินใจถอดเสื้อคลุมและรองเท้าจากนั้นก็นั่งคุกเข่าลงบนโคลนพร้อมใช้มือดึงสุนัขออกมา
“บุรนีย์”
เมื่อรณพัชร์ตัดส้มเสร็จไปหนึ่งเข่งก็หันไปเรียกบุรนีย์ แต่ทว่ากลับเห็นแต่ความว่างเปล่า รณพัชร์จึงมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นร่างบางที่กำลังมองหาก้มๆ เงยๆ คล้ายว่ากำลังหาอะไรบางอย่าง และแน่นอนว่าสภาพตัวเปื้อนโคลนไปหมด เขาจึงขมวดคิ้วและก้าวขายาวๆ เดินไปหาพร้อมเอ่ยเรียก
“บุรนีย์”
“อุ้ย คะ”
