ตอนที่ 6 สะอาดแล้วค่อยดูได้หน่อย
บุรนีย์อุ้มลูกสุนัขจากช่วยเหลือได้แล้วพร้อมสะดุ้งขึ้นมาเบาไป เมื่อได้ยินเสียงเข้มๆ ของรณพัชร์เรียกเธอขึ้นมา เธอจึงหันหน้าไปหาเขาพร้อมลูกสุนัขที่เธอกำลังอุ้มอยู่
“นี่หล่อนหรือหมาที่เปื้อนเยอะกว่ากัน เห็นทีจะเป็นหล่อนเสียมากกว่า ได้เห็นสภาพตัวเองหรือยัง”
รณพัชร์กอดอกพร้อมขมวดคิ้วหลังไล่สายตามองบุรนีย์ที่ตอนนี้เนื้อตัวเปื้อนโคลนจนมอมแม่มไปเสียหมด จนไม่แน่ใจว่าลูกสุนัขที่กำลังอุ้มอยู่หรือเจ้าหลอนที่มอมแม่มกว่ากัน เปื้อนตั้งแต่ใบหน้าลงไปจนถึงขา
“บุช่วยลูกสุนัขค่ะ”
“เห็นแล้ว ปล่อยมันไว้ตรงนี้ล่ะ เดี๋ยวแม่มันก็มาคาบไป”
“แต่ถ้าแม่มันไม่มาล่ะคะ มันจะไม่ตายหรือคะ เราพามันกลับบ้านไปไม่ได้หรือคะ ตรงนี้ก็ไม่เห็นตัวอื่นแล้วค่ะ”
บุรนีย์เอ่ยถามรณพัชร์พร้อมส่งสายตาวิงวอน เพราะเธออยากเอาเจ้าสุนัขตัวนี้กลับไปด้วย แล้วบริเวณนี้ก็ไม่เห็นสุนัขตัวอื่นเลย สุนัขพวกนั้นอาจยะย้ายที่พักพิงแต่เจ้าตัวนี้อาจจะหลงทางก็เป็นได้
“แต่ถ้าแม่มันมาแล้วไม่เห็นมันล่ะ”
รณพัชร์เอ่ยถามเพราะอยากฟังคำตอบจากหญิงสาวที่ดูท่าทางจะดื้อมากพอสมควร เพราะดูแล้วเจ้าหล่อนคงจะอยากนำสุนัขตัวนี้กลับไปด้วย
“อืมมม บุจะเลี้ยงเจ้านี่อย่างดีค่ะ แม่สุนัขก็คงจะไม่โกรธ”
บุรนีย์มองสุนัขที่ตนอุ้มอยู่แล้วก็คิดอยู่กับตนเองนานพอสมควร ตอนแรกหากตอบเขาไปว่าถ้าเห็นแม่ของเจ้าตัวนี้จะไม่เอาไปด้วย แต่ถ้าแม่ของสุนัขมาเธอก็ต้องเอาเจ้านี่คืนไป เธอก็ไม่อยากพรากแม่กับลูก แต่เธอก็อยากจะนำไปเลี้ยงดู เพราะเธอก็มาอยู่ที่ีนี่เพียงคนเดียว หากมีเจ้านี่อยู่ด้วยก็คงจะคลายเหงาได้บ้าง
“ฮึ ฉลาดเสียด้วย เอาไปก็ต้องเลี้ยงดูมันให้ดีด้วยล่ะ ไป กลับบ้าน”
รณพัชร์หัวเราะเบาๆ ในลำคอหลังจากเจ้าหล่อนตอบตนกลับมา เพราะดูแล้วบุรนีย์ก็คงจะอยากเอาสุนัขตัวนี้กลับไปด้วยเขาเลยไม่ได้ห้าม เมื่อเห็นสภาพของหญิงสาว
“แต่บุยังตัดส้มได้ไม่ถึงเข่งเลยค่ะ”
“วันนี้พอแล้ว กลับบ้านไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด”
“แต่บุไม่เป็นไรค่ะ ตัดส้มให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับทีเดียวก็ได้ค่ะ”
“กลับบ้าน เดี๋ยวนี้ ไปใส่รองเท้าและเสื้อให้เรียบร้อย”
“ค่ะ”
บุรนีย์พยักหน้าและตอบรับไปพร้อมกันจากนั้นก็วางเจ้าสุนัขตัวน้อยลงบนหญ้าใกล้ๆ จากนั้นก็สวมรองเท้าและใส่เสื้อคลุม แต่ใจจริงเธอก็อยากทำงานให้้แล้วเสร็จเสียก่อนแต่เมื่อรณพัชร์ยืนยันว่าจะกลับบ้านเธอจึงไม่ได้คัดค้านอะไร เมื่อใส่เสื้อและสวมรองเท้าเสร็จเรียบร้อยก็อุ้มลูกสุนัขที่นอนตัวสั่นขึ้นมาและเดินมาหยุดตรงหน้ารณพัชร์
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อืม ไอ้ไม้ ไอ้ไม้!”
“ครับพ่อเลี้ยง”
“มึงดูคนงานที่ตัดส้มให้กูด้วย กูจะพาเมียกลับบ้านก่อน เล่นโคลนเลอะไปหมด หากมีอะไรด่วนก็ไปหาที่บ้าน กูคงไม่กลับเข้ามาแล้ว”
“ครับพ่อเลี้ยง”
ไม้รับคำสั่งของพ่อเลี้ยงพร้อมสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เพราะเมื่อก่อนไม่ว่าใครจะเป็นอะไรพ่อเลี้ยงก็ไม่เคยสนใจหรือใส่ใจและทำงานจนมืดค่ำ แต่เมื่อเห็นว่าที่แม่เลี้ยงคนใหม่ก็ทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ ขนาดที่ทำให้พ่อเลี้ยงของพวกเขาสนใจได้ขนาดนี้คงต้องสีอะไรพิเศษแน่ๆ ก่อนหน้านี้มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาเข้าหาแต่ทุกคนก็ดูจะไม่คล้ายแม่เลี้ยงคนนี้สักคน คนที่เข้ามาส่วนใหญ่จะห่วงภาพลักษณ์และความสวยงามแต่หญิงสาวที่ยืนข้างพ่อเลี้ยงกลับไม่ใช่แบบนั้น ดูแล้วแม่เลี้ยงของพวกเขาก็คงจะดื้อไม่เบาเหมือนกัน
“ไป กลับบ้านกันได้แล้ว”
รณพัชร์สั่งงานให้ไม้ดูแลฝั่งคนงานที่กำลังตัดส้มเสร็จแล้วก็หันมาบอกให้บุรนีย์เดินตามมาที่รถ เมื่อมาถึงรถและหญิงสาวนั่งซ้อนท้ายของเขาเสร็จเรียบร้อยก็สตาร์ทรถแต่เมื่อกำลังจะออกตัวก็ได้ยินเสียงหวานๆ ของบุรนีย์ดังขึ้นมา
“เอออ พ่อเลี้ยงคะ รบกวนพ่อเลี้ยงขับเบาๆ หน่อยนะคะ บุกลัวเจ้าหมาน้อยมันจะตกใจ”
บุรนีย์มองเจ้าสุนัขตัวน้อยที่ตอนนี้เนื้อตัวก็ยังไม่หยุดสั่น อาจจะยังไม่คุ้นชินเธอเลยบอกรณพัชร์ให้ขับรถช้าๆ เพราะกลัวเจ้าสุนัขจะสั่นมากกว่าเดิม แต่เมื่อได้ยินรณพัชร์ตอบกลับมาก็ทำให้เธออดค้อนใส่เขาไม่ได้
“ก็บอกให้มันอดทน”
เมื่อรณพัชร์ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมาก็ทำให้เขาสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะแทนที่จะห่วงตัวเองกลับห่วงแต่สุนัข แล้วสัตว์พวกนี้มันมีความอดทนอยู่แล้ว แต่เมื่อเขากำลังจะออกตัวก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวคล้ายว่าบ่นออกมา
“ใจร้ายเสียจริง”
“ได้ยิน”
บุรนีย์เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นรณพัชร์หันมามองพอดีเธอจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พร้อมหยุดพูดและก้มมองสุนัขตัวน้อยในอ้อมแขนก่อนจะสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยตอนที่รณพัชร์ออกตัวเพราะเธอยังไม่ได้ทรงตัวเลยเลยทำให้เสียหลักจนตัวเอนไปด้านหน้า บุรนีย์จึงส่งเสียงจิ๊ในลำคอเบาๆ เพราะเธอรู้ว่ารณพัชร์แกล้งเธอเป็นแน่
“พ่อเลี้ยงแกล้งบุหรือคะ”
“ใครแกล้งหล่อน แล้วทำไมไม่จับให้ดี ถ้าหากยังห่วงหมาฉันจะเอามันไว้ที่นี่ นั่งและจับให้ดี”
“ทราบแล้วค่ะ”
เมื่อมือเล็กๆ ข้างหนึ่งของบุรนีย์จับที่เอวของเขาวรพัชร์ก็ขับรถออกมาจากไร่ตรงไปยังบ้านโดยที่ลดความเร็วลงจากครั้งแรกที่มา เมื่อมาถึงบ้านเขาก็จอดรถพร้อมหันมาสั่งบุรนีย์ให้ไปล้างเนื้อล้างตัว
“ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเข้าบ้านแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำ หากอาบน้ำเสร็จแล้วก็มาจัดการไอ้เจ้านั่นให้เรียบร้อยด้วย เปื้อนพอกันจนจะแยกไม่ออก”
บุรนีย์เงยหน้ามองรณพัชร์ก่อนจะมองตามนิ้วของเขาที่ชี้มาที่เจ้าสุนัขตัวเล็ก จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินมาที่หน้าบ้าน เมื่อเดินมาถึงก็ได้ยินเสียงของผกาแก้วทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย
“ตาเถร! หนูบุ ทำไมถึงได้เปื้อนอย่างนี้ ตาพัชร์ ลูกแกล้งน้องหรือ”
ผกาแก้วกำลังใช้มีดปอกเปลือกเมล็ดบัวที่แก่แล้วเพื่อนำไปเพาะ เมื่อหันมาเห็นบุรนีย์ที่เดินเข้ามาก็ทำให้เธออดตกใจไม่ได้ เพราะเนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยโคลน เห็นดังนั้นเธอเลยรีบหันไปถามลูกชายด้วยความร้อนใจ เพราะเธอกลัววรพัชร์จะทำอะไรแผลงๆ เหมือนที่ผ่านมา แล้วถ้าหากเป็นจริงดั่งที่คิดเธอจะเขกกบาลเจ้าลูกชายคนนี้สักที
“ผมได้แกล้งลูกสะใภ้แม่เสียทีไหน เจ้าหล่อนทำตัวเลอะเอง ไปช่วยลูกหมาในพุ่มไม้จนตัวเองเลอะไปหมด”
“จริงหรือหนูบุ”
“จริงค่ะ คุณแม่คะ หนูขอเลี้ยงลูกหมาสักหนึ่งตัวนะคะ”
“ได้ๆ หนูอยากเลี้ยงก็เอามาเลี้ยงเลยลูก บ้านเราพื้นที่เยอะแยะ ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ แหม่ หน้าตาของมันน่าเอ็นดูเสียจริง แล้วมันชื่ออะไรล่ะ หนูบุแต่งชื่อให้มันหรือยัง“
รณพัชร์เลิกคิ้วมองมารดาของตนที่ตอนนี้น้ำเสียงที่ใช้คุยกับบุรนีย์และตนช่างแตกต่างกันเสียจริง แถมยังเห็นดีเห็นงามไปด้วยทุกอย่าง รณพัชร์จึงนั่งลงบนแคร่ข้างมารดาพร้อมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อย
“แหม่ แม่ พ่อลูกสะใภ้อุ้มเข้ามาเกิดเอ็นดูขึ้นมาเลยนะ ตอนผมขอเลี้ยงแม่ไม่เห็นเคยให้ ไม่ให้เลี้ยงแถมยังไล่พวกมันไปอยู่ท้ายสวน”
“หนูบุเขาเลี้ยงเขาก็ดูแล ใครจะเหมือนลูกล่ะ เลี้ยงจะเอามันมาเล่นอย่างเดียว”
“เหอะ”
“ไปหนูบุ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ประเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ค่ะ ว่าแต่คุณแม่กำลังทำอะไรหรือคะ”
บุรนีย์ยิ้มให้ว่าที่แม่ยายพร้อมเอ่ยถามออกไปโดยที่สายตาก็มองไปกระจาดที่มีเมล็ดสีเขียวปนสีน้ำตาลอยู่เต็มไปหมด แล้วท่านก็เมตตาเธอเป็นอย่างมากหากช่วยหยิบจับอะไรได้เธอก็อยากจะช่วยทำ
“อ่อ แม่กำลังปอกเปลือกบัวหลวงว่าจะเอามันมาเพาะ เพื่อนแม่เขาให้เสียเยอะ”
“คุณแม่อย่าเพิ่งทำหมดนะคะ หนูขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะรีบมาช่วยค่ะ อืม เจ้ากะทิ ฉันตั้งชื่อให้แกว่ากะทิแล้วกันนะ นอนรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวบุมานะคะ”
ฟิ้ว
เมื่อกล่าวจบบุรนีย์ก็รีบวิ่งไปล้างแขนและเท้าให้สะอาดก่อนจะรีบเข้าไปในบ้านเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อรณพัชร์เห็นก็เลิกคิ้วพร้อมพึมพำออกมาโดยที่ผกาแก้วก็หลุดหัวเราะออกมาและมองตามลูกสะใภ้ไปด้วยแววตาเอ็นดู
“ตอนแรกคิดว่าจะมีท่าทีคล้ายหม่อมเจ้า จะอยู่ยากกินยาก นี่อะไร ดื้อเสียไม่มี มาวันแรกตัวก็เปื้อนโคลนตั้งแต่หน้าลงมายันขา หากอยู่นานกว่านี้จะไม่เหลือแค่ตาหรือ ที่พอจะมองเห็น”
“ฮ่าๆ แล้วถูกใจไหมเล่า ฮึ หากแม่เดาไม่ผิด ถูกใจเขาไม่น้อยใช่หรือไม่ล่ะ หากไม่เช่นนั้นหนูบุคงไม่รอดปลอดภัยกลับมาเช่นนี้ ปกติลูกชายข้าจะกลับบ้านก็ตะวันลับขอบฟ้า บางวันกินเหล้าอยู่ท้ายสวนกับคนงานเสียดึกดื่น วันนี้ลมอะไรพากลับบ้านมาก่อนจะเที่ยงวันได้นะ”
“แม่ก็พูดไปนั่น ผมเข้าไปเอาหนังสือมาอ่านดีกว่า”
“หึหึ ไอ้พัชร์เอ๊ย ปากน่ะ พูดให้มันตรงกับใจเสียหน่อยเถอะ แม่เห็นแล้วหมั่นไส้เอ็งเสียจริง”
พัชร์มองมารดาที่หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข แล้วเห็นทีหากพูดกับผู้เป็นแม่ต่อไปเห็นทีเขาจะเป็นฝ่ายที่แพ้เสียเอง ซึ่งตัวเขาเองก็หาคำตอบไม่ได้เช่นเดียวกัน อาจจะเพราะว่าที่ภรรยาของคนไม่คล้ายผู้หญิงคนอื่นๆ ล่ะมั้ง รณพัชร์เข้ามาในบ้านและตรงเข้าไปที่ห้องนอนของตนเอง จากนั้นเขาก็หยิบผ้าขนหนูเพื่อไปชำระล้างร่างกาย เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วเขาก็หยิบกางเกงขาสั้นสีดำมีกระเป๋าสองฝั่งและเสื้อยืดสีขาวคอกลมขึ้นมาใส่ เมื่อแต่งตัวเสร็จรณพัชร์จึงเดินมาหยิบหนังสือซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับการเลี้ยงปลานิลและปลาทับทิม เพราะตนมีความคิดที่จะเลี้ยงเพื่อขาย เมื่อหยิบหนังสือเสร็จเรียบร้อยร่างสูงของรณพัชร์ก็เดินลงมาด้านและตรงไปที่หน้าบ้าน จากนั้นก็เห็นร่างเล็กๆ ของบุรนีย์ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อสีขาวแขนสั้นแบบผูกเอวคู่กับกระโปรงสีฟ้านั่งพับเพียบอยู่บนแคร่ใกล้มารดาตนและกำลังเช็ดขนให้ลูกสุนัขที่วางบนตักโดยมีผ้ารอง รณพัชร์เดินมานั่งลงก่อนจะมองใบหน้าหวานๆ ของบุรนีย์และเลื่อนลงมามองไอ้กะทิพร้อมพึมพำออกมาพร้อมเปิดหนังสือในมือไปด้วย
“ฮึ สะอาดแล้วค่อยดูได้หน่อย”
