บทที่ 7 เงามือ
“ถอนใจอะไร ไปทำงาน”
ทศพลเดินมาหยุดยืนตรงหน้าพยาบาลสาว หล่อนยิ้มแหยแล้วก้มศีรษะเดินเลี่ยงตามชยาภรณ์ ครู่ต่อมาไฟทุกดวงสว่างพร้อมกัน อารตีแหงนมองดวงไฟดวงกลางห้อง เหลือบหางตาไปที่หน้าต่าง ใบไม้นิ่งไม่ขยับแม้เพียงนิดเดียว หล่อนก้าวยาวๆ ไปที่ประตูเปิดออกสู่ระเบียงด้านหลังเงยหน้ามองยอดไม้ที่หล่อนเห็นก่อนหน้านี้
ลมเย็นพัดเฉื่อย โยกยอดไม้ไหวเอนไปมาไม่แรง ไม่บิดม้วน ทุกอย่างเป็นปกติ หล่อนหลับตาถอนหายใจยาว
“สงสัยตาฝาดหรือไม่ก็คิดจนหลอนตัวเองแหงๆ เรา”
“หลอนอะไรเหรอแก”
เปมิกาเดินมายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่อารตีไม่ทันเห็น หล่อนหันมาจ้องหน้าเพื่อน
“ก็เมื่อกี้นี้ ฉันเห็น...เอ่อ...”
เกือบหลุดปากพูดสิ่งเหลือเชื่อให้เพื่อนร่วมงานฟัง ถ้าเปมิกาไม่เชื่อเสียงหัวเราะต้องดังลั่นแน่ๆ จึงหยุดคำไว้แค่นั้นแต่เปมิกากลับสนใจ
“เห็นอะไร แกเห็นอะไรตี้”
ไม่เพียงน้ำเสียงร้อนรนแต่มือเขย่าต้นแขนนุ่มเร่งคำตอบจากเพื่อน
“เอ่อ.ไม่เห็นอะไร ไม่มีอะไร”
อารตีแกะมือเปมิกาออกจากแขน หมุนตัวจะเดินกลับเข้าห้องคนไข้แต่เปมิกาดึงไว้
“ยัยตี้ แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าแกเห็นอะไรที่ยอดไม้นั่น”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อย”
หญิงสาวปฏิเสธพร้อมสั่นศีรษะแต่เพื่อนไม่ยอมให้หล่อนเดินหนี มือที่ปล่อยไปแล้วบีบแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ถ้าแกไม่บอกฉัน ฉันก็จะไม่บอกอะไรแกเหมือนกัน”
“บอกอะไร แกเห็นอะไรเหรอเปม”
เท้าที่จะก้าวหนีหยุดอยู่กับที่ ใบหน้าตื่นเต้นกับคำกำกวมของเพื่อนสาว
“ฉันจะบอกถ้าแกบอกฉันก่อนแต่ถ้าแกไม่พูดฉันก็จะไม่พูด”
เปมิกาปัดมืออารตีออก ก้าวยาวๆ ไปที่ประตู อารตีคว้ามือเพื่อนแล้วดึงกลับ พาเดินลงบันไดไปหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่
อารตีจ้องตาเพื่อนร่วมงาน กลืนน้ำลายลงคอ หากหล่อนไม่เล่าสิ่งที่เห็นให้เปมิกาฟังเพื่อนสาวของหล่อนไม่ยอมเปิดปากกับคำพูดมีนัยนั่นแน่นอน
“ก็ได้ ฉันเล่าก็ได้ แต่แกต้องสัญญาว่าจะไม่บอกใครแล้วแกก็ต้องเล่าให้ฉันฟังด้วยว่าแกเห็นอะไร”
“เออ.ฉันเล่าแน่ ฉันอยากจะบ้าอยู่แล้วรู้มั้ยตี้ พอแกบอกว่าเห็นฉันดีใจนะที่ตาฉันไม่ได้ฝาดคนเดียว ประสาทไม่ได้หลอนด้วย”
“หมายความว่ายังไงเปม”
ใบหน้าอารตีซีด ดวงตาเบิกโตกับคำของเพื่อน เปมิกากำลังจะพูดอะไร สีหน้าของเพื่อนซีดไม่แพ้หล่อนในขณะนี้
“ฉันเห็นมือที่ยอดไม้ มันเหมือนมือคนเลยนะตี้ แกเห็นเหมือนที่ฉันเห็นใช่มั้ย”
อารตีพูดไม่ออก หัวใจเต้นแรง ตาหล่อนไม่ได้ฝาดอย่างที่เข้าใจและไม่ใช่ประสาทหล่อนคิดวาดภาพก้อนเมฆดำทมึนไปเอง เพื่อนรักเห็นอย่างที่หล่อนเห็น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เงามือนั่นคืออะไร ลางร้ายหรือลางดี
“ใช่..เปม...มัน..คือ..อะ..อะไรวะ”
อารตีหลุดคำพูดได้เพียงนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นบนยอดต้นกาสะลองที่พวกหล่อนยืนอยู่
“เปรียะ เปรียะ”
สิ้นเสียงดังกิ่งไม้ก็หล่นลงมา อารตีเงยหน้ามอง หล่อนกระชากแขนเปมิกาหลบเข้าใต้ต้น กิ่งไม้ฟาดลงกับพื้นเฉียดแขนเปมิกาไปเพียงฟุตเดียว
สองสาวตัวสั่น ใบหน้าซีดกว่าเดิม ลมกระโชกพัดพาใบไม้พุ่งเข้าใส่ทั้งคู่ อารตีจับมือเพื่อนแล้วกระชากให้วิ่งตามไปที่บันไดที่เพิ่งเดินลงมา
“เปมวิ่ง...”
ไม่ต้องให้ย้ำคำ เปมิกาวิ่งเร็วเท่าที่จะเร็วได้ไม่ถึง 5 วินาทีพยาบาลสาวสวยทั้งสองเข้ามายืนหอบอยู่ข้างเตียงคนไข้รวมชิดกับประตูทางออก
“ตี้..อะไรเหรอวะ”
เปมิกาพูดแทบไม่เป็นภาษา ใบหน้าซีด ดวงตากลอกกลิ้งหวาดกลัว ไม่มีคำตอบจากอารตีเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร สิ่งที่พวกหล่อนเผชิญอยู่คืออะไร
“ไม่รู้ ถามพี่หมอทศมั้ย พี่หมออยู่ที่นี่มานานกว่าพวกเราน่าจะรู้อะไรบ้าง”
อารตีคิดถึงหมอทศพลที่อาวุโสกว่าพวกหล่อน เปมิกาพยักหน้าแล้วดึงมืออารตีเดินออกจากห้องคนไข้รวม เร่งฝีเท้าถึงห้องพักแพทย์ภายใน 2 นาที
“พี่หมอทศ เปมมีเรื่องถามหน่อยค่ะ”
เปมิกาส่งเสียงก่อนที่จะถึงโต๊ะทศพล หมอหนุ่มเงยหน้าจากเอกสารที่เซ็นเสร็จพอดีมองหน้าพยาบาลสาว
“มีอะไร หน้าตาตื่นกันมาเชียว”
เขามองเปมิกาเลื่อนไปที่ใบหน้าซีดของอารตี หัวคิ้วย่นนิดหนึ่งขณะถาม ปกติแล้วเขาไม่เคยเห็นอารตีหน้าซีดอย่างนี้เห็นทีไรหน้าระรื่นทุกครั้ง อารมณ์เกือบตลอด พูดจาไม่เกรงใจใครเท่าไรนักหากคนๆ นั้นมากเรื่องและไร้เหตุผลแต่วินาทีนี้อารตีนิ่งเงียบ นอกจากหน้าจะซีดแล้วดวงตายังตื่นกลัว