บทที่ 1/2 ในห้วงความทรงจำ
"หวัดดี เราชื่อต้น นายล่ะชื่อไร" เขารู้สึกสะดุดตากับผู้ชายตรงหน้าทันทีเพราะรูปร่างที่สูงใหญ่ อีกทั้งดวงตาเรียวที่หางตาชี้ขึ้น กลิ่นอายของคนกวนโทสะคละคลุ้ง พวกเดียวกันมักดูกันออกเสมอ และก็เป็นดังคาดเมื่อร่างสูงนั้นหันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังหาใครสักคน ก่อนจะหันกลับมามองจ้องเขาด้วยท่าทียโส
"ถามนายนั่นแหละ นั่งแถวเดียวกันเลยทายว่าเราน่าจะอยู่ห้องเดียวกัน ว่าแต่นายสนใจจะเล่นบาสฯรึเปล่า" คำถามสุดท้ายเรียกสิ่งที่เหมือนจะเป็นรอยยิ้ม เพราะเขาเพียงยกมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย
เพียงพักคาบที่สอง ผึ้งก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในห้อง “วิน...ผู้ชายคนนั้นชื่อวิน” ก่อนจะพยายามอ้าปากเพื่องับเอาอากาศเข้าปอด
“เอ้า...แม่คุณ ใจเย็นๆ แล้ววินเวินอะไรกัน” ส้มว่าพลางยื่นแก้วน้ำให้คนตรงหน้า
“ก็...” คนตัวเล็กรับน้ำมาดื่มรวดเดียวเกือบหมดก่อนเอ่ยต่อ “ก็ผู้ชายคนสูงๆ ขาวๆ หล่อๆ หน้าเรียวๆตาชี้ๆหน่อย ที่มาสายเมื่อเช้าอ่ะ”
ส้มพยักหน้าหงึกหงักจำได้ “อ๋อ แล้วไง” เพราะเขาเป็นต้นเหตุให้การจราจรเช้านี้ติดขัดอยู่หน้าหอประชุม ส่วนวราลีได้แต่กลั้นหายใจ ไม่คาดคิดว่าเขาจะเรียนอยู่ที่เดียวกันจริงๆ
“เขาชื่อวิน อยู่ห้องสิบเอ็ด เพิ่งย้ายมาจากเชียงใหม่ ชื่อจริงว่า อนิรุทธ์ เพชรตระการ ส่วนสูงร้อยแปดสิบเก้าเซ็นติเมตร ที่บ้านมีกิจการอสังหาฯ คุณพ่อเป็นสถาปนิกย้ายกลับมาช่วยกิจการทางบ้านที่กรุงเทพ”
คนตัวสูงไม่วายประชด “โห...นี่หายไปแค่สิบนาที แทบจะได้มาทั้งต้นตระกูลเลยนะจ้ะ” หากแต่คนตัวเล็กกลับทำเพียงส่งค้อนให้ไวๆ แล้วจึงหันมาคุยกับวราลีต่อ เพราะดูจะเป็นคนเดียวที่พร้อมจะรับฟังเธอ
“เห็นมีคนโทรไปถามเพื่อนที่เชียงใหม่ ข่าวกระจายเร็วมาก คู่แข่งเป็นร้อยเลย น่ากลัวชะมัดเลย เอ้อ...อีกอย่าง เห็นว่าเขาสนใจจะเข้าชมรมบาสฯชาย สงสัยเราคงต้องลองไปสมัครบาสฯหญิงดูบ้าง”
“ไม่แปลกหรอก ตัวสูงขนาดนั้น ว่าแต่ผึ้งนี่นะ สนใจชมรมบาสเกตบอลกับเขาด้วย” ส้มว่าพลางยกมือขึ้นเทียบความสูงคนตรงหน้า “ให้ไม่เกินร้อยหกสิบอ่ะ ร้อยห้าสิบห้าเซ็นฯ ไม่มีทางสูงเกินนี้แน่” คนตัวสูงบรรยายพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ส้มอ่ะ ไม่เห็นต้องย้ำเลยว่าเค้าเตี้ย ฮือๆๆ ไปสมัครเป็นผู้จัดการทีมก็ได้” คนตัวเล็กสุดว่าอย่างกระฟัดกระเฟียด ในขณะที่คนกลางได้แต่ยิ้มขำเพื่อนใหม่ทั้งสอง
“ผู้จัดการชมรมเนี่ยนะ แล้วผึ้งรู้อะไรเกี่ยวกับบาสเกตบอลบ้างล่ะ นอกจากนักกีฬาหล่อ”
“รู้สิ ก็แค่ส่งลูกต่อๆกันแล้วโยนลงตะกร้า”
“นั่นมันแชร์บอล!!” สองสาวพร้อมใจกันประสานเสียง ก่อนจะแยกย้ายกันไปนั่งโต๊ะ ทิ้งให้คนตัวเล็กได้แต่ยืนค้อน
หลังหมดคาบสุดท้าย ทั้งห้องก็แตกฮือราวผึ้งแตกรัง เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ต่างแยกย้ายกันไปสมัครเข้าชมรมอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าบางชมรมจะจำกัดจำนวนที่จะรับ เหลือเพียงบางกลุ่มที่ยังตัดสินใจไม่ได้ เช่นกลุ่มของเธอ
ส้มเอ่ยอย่างหงุดหงิดพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “สรุปจะเอายังไงเนี่ยผึ้ง เราจะสายแล้วนะ”
“เดี๋ยวสิ ชมรมหนังสือพิมพ์กับผู้ประกาศก็น่าสนใจ แต่วินล่ะ... เอ้ย ชมรมบาสฯล่ะ” คนตัวเล็กรีบแก้ตัวเมื่อเห็นสายตาเขียวๆจากเพื่อนตัวโย่ง “ลีล่ะ จะเข้าชมรมไร ไปกับเราไหม”
“เราจะเข้าชมรมคหกรรม”
“ห๊า !!!” เพื่อนทั้งสองทำหน้าราวกับเห็นผีจนต้นเหตุย่นคิ้วสงสัย
หล่อนตอบเสียงเบา “ทำไมล่ะ”
“เปล่าๆ” ส้มว่าพลางยกมือขึ้นโบกไปมา “แค่เราไม่เคยเข้าครัวอ่ะ”
“เราด้วย” ผึ้งรีบสมทบเสียงอ่อยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “เหลือเราคนเดียวสิ เอาไงดี” เมื่อเห็นสีหน้าลังเลของคนเป็นเพื่อน วราลีเลยเสนอทางออกให้
“งั้นเอางี้ไหม เดี๋ยวผึ้งก็ลงไปส่งส้มที่ชมรมบาสฯ แล้วก็ลองอยู่ดูว่าชอบจริงๆไหม ถ้าไม่ชอบจะได้ตัดสินใจได้ง่าย”
“เอ้อ ใช่ ขอบใจนะลี” คนตัวเล็กว่าพลางโผเข้ากอดคนตรงหน้าก่อนจะประจบต่อ “ลีก็ไปเป็นเพื่อนกันนะ”
“ไหงเป็นงั้นล่ะ” ร้องท้วงออกไปอย่างนั้น สุดท้ายคนกลางก็ยอมถูกจับจูงไปที่โรงยิม ซึ่งตอนนี้หนาแน่นไปด้วยนักเรียนหญิง
“คู่แข่งผึ้งคงจะไม่น้อยแล้วล่ะ” ส้มว่าก่อนจะลากทั้งสองฝ่าฝูงชนเข้าไปด้านใน
โรงยิมของที่นี่ใหญ่กว่าโรงเรียนเก่าของวราลีมาก ฝั่งหนึ่งเป็นสนามบาสเกตบอลสองสนาม ส่วนอีกฝั่งหนึ่งแบ่งเป็นสนามวอลเลย์บอลสองสนามเช่นกัน ได้ยินส้มบอกว่า ชั้นบนยังมีสนามแบดมินตันและโต๊ะปิงปองอีกด้วย สมกับเป็นโรงเรียนที่ส่งเสริมกิจกรรมตามที่ผู้อำนวยการกล่าวไว้จริงๆ
เมื่อมองตามฝูงชนที่ยืนออกันแล้วก็พบว่า ทุกคนกำลังมุ่งไปที่ชมรมบาสเกตบอลชาย ซึ่งก็คงต้องยอมรับว่าเป็นแหล่งรวมของคนหน้าตาดีจริงๆ
หญิงสาวเห็นผู้หญิงส่วนใหญ่ต่อแถวเพื่อยื่นใบสมัครที่โต๊ะชมรม ผู้หญิงต่อแถวสมัครชมรมบาสชายเนี่ยนะ!! เสียงจ้อกแจ้กเริ่มดังขึ้นมา เมื่อมองไปทางด้านประตูโรงยิม ก็เห็นหนุ่มๆในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นเดินเข้ามา
ชายหนุ่มที่มาสายเมื่อเช้าเดินนำกลุ่มคนอื่นๆเข้ามา พร้อมโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ให้สาวๆ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดี นอกจากนี้พี่ๆ คนอื่นๆในชมรมที่มาสมทบต่างก็มีแฟนคลับเป็นของตัวเอง
จนมาถึงร่างสูงคนสุดท้าย เสื้อแขนกุดสีดำตัดกับผิวขาวจัดของเจ้าตัว กางเกงขาสั้นยาวเสมอเข่า พร้อมสนับเข่ากันกระแทก แม้จะชินตากับภาพนี้ แต่ให้มองกี่ทีคนมองก็ยังรู้สึกว่าเท่ ยิ่งพอเขาเดินเข้ามาในโรงยิม เหมือนเธอจะได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆจากสาวๆที่รอกันอยู่
ส้มหันมาคุยกับสองสาวที่เหลือ “หืม ใส่ชุดนี้แล้วขึ้นชะมัด” เรียกสีหน้าแปลกใจจากคนทั้งสองได้เป็นอย่างดี
“นึกว่าไม่สนใจซะอีก”
ส้มหันมาตอบอย่างไม่จริงจัง “เปล่าหรอก แค่เห็นว่าราศีนักกีฬาจับเท่านั้นแหละ ตอนแรกก็แค่คิดว่าสูงเฉยๆ” พูดจบก็หันไปยื่นใบสมัครที่โต๊ะ จากนั้นจึงขอตัวออกไปเปลี่ยนชุด ทิ้งให้สองสาวนั่งแกร่วรอยู่ข้างสนาม
วราลีได้ยินรุ่นพี่ผู้ชายตะโกนเรียนทุกคนมารวมตัวกัน จากนั้นก็อ่านประวัติของแต่ละคน โดยพอถึงชื่อคนไหน ก็ให้คนนั้นก้าวออกมา หญิงสาวจึงได้รู้ว่าผู้ชายที่มาสายท่าทางอารมณ์ดีคนนั้นชื่อ ต้น และได้รู้ว่าเขาเคยอยู่ชมรมบาสเกตบอลตอนสมัยมัธยมต้น
คิ้วเรียวโค้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าวินไม่เคยอยู่ชมรมบาสฯ ไม่น่าเชื่อว่าเขาที่เล่นเก่งขนาดนั้น จะไม่เคยผ่านกีฬาประเภทนี้ในรั้วโรงเรียนมาก่อน
หลังจากพวกรุ่นพี่แนะนำตัวเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้ทุกคนวอร์มร่างกายแล้วลองแบ่งทีมเล่นให้ดู พร้อมกับยื่นเสื้อที่มีเบอร์ให้ทีมละสี โดยในหนึ่งทีมจะมีทั้งคนที่มีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์รวมกัน หลังจากวอร์มอัพเรียบร้อยและเตรียมเริ่มแข่ง ส้มก็เดินกลับเข้ามาพอดี
“อ้าว ยังไม่ไปกันอีกเหรอ” เจ้าตัวเลิกคิ้วสงสัยเป็นเหตุให้ได้รับค้อนวงใหญ่จากคนตัวเล็ก
“อะไรกัน คนเค้าหวังดี นึกว่าจะให้อยู่รอเป็นเพื่อน”
“เหรอจ้ะ...” หญิงสาวลากเสียงยาวก่อนจะพูดต่ออย่างรู้ทัน “จะอยู่รอทีมบาสฯชายล่ะสิ”
“ส้มอ่ะ” ผึ้งได้แต่ค้อนปะหลับปะเหลือก แต่ก็ยังไม่ยอมลุกไปไหน
เสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมกับลูกบอลที่ลอยขึ้นกลางอากาศ ทีมที่สวมเสื้อสีแดงเป็นฝ่ายได้ลูกก่อนจะเลี้ยงบอลมุ่งหน้าสู่แป้นของอีกฝ่าย ระหว่างที่กำลังส่งบอล วินกลับเป็นฝ่ายตัดลูกและแย่งกลับมาได้ แค่นี้ก็เรียกเสียงกรี๊ดได้กระหึ่มสนามแล้ว
จากนั้นเขาก็เลี้ยงลูกอย่างคล่องแคล่วผ่านคู่ต่อสู้ไปหนึ่งคน จากนั้นจึงเป็นคนที่สอง เสียงกรี๊ดในสนามค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ จนเขาประจันหน้ากับคนที่สาม ชายหนุ่มหยุดกะทันหันจนคนตรงหน้าต้องเบรกตามและโยกตัวเข้าไปหา พยายามจะป้องกัน แต่แล้ววินกลับเลี้ยงลูกลอดหว่างขาสลับไปมาแล้วกระโดดตัวขึ้นชู้ตอย่างรวดเร็วทันที
คนตรงหน้าที่มีประวัติว่าเป็นนักกีฬาจังหวัดก็กระโดดขึ้นตามพร้อมยกมือขึ้นป้องกัน และในจุดสูงสุดนั้น เธอเห็นคู่ต่อสู้เอียงตัวไปข้างหน้าเมื่อเห็นว่าวินกำลังจะชู้ต
แต่วินกลับทำในสิ่งที่ตัวเธอเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาเอนตัวไปข้างหลังช้าๆ ขณะที่คนข้างหน้ากำลังตกลงสู่พื้น วินก็ส่งลูกขึ้นไปเป็นเส้นโค้งแล้วพุ่งลงตรงกลางห่วง เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มทั้งโรงยิมแทบจะกลืนเสียงนกหวีดที่ดังขึ้นจนจางหาย
“ว้าว เฟดอเวย์ซะด้วย” ส้มพูดขึ้นมาทันทีหลังจากที่ลูกลงห่วง “ยากนะนั่นท่านั้นอ่ะ กำลังแขนต้องดี กระโดดต้องสูง จังหวะต้องเป๊ะ ท่าสวยอย่างนี้ แสดงว่าฝึกมาเยอะชัวร์” คนตัวสูงพูดอย่างทึ่งๆ ขณะที่วราลีได้แต่พยักหน้า เธอรู้ว่าเขาฝึกมาเยอะเพียงไร
ผึ้งรีบถามเสียงใสทันที “อย่างนี้ก็แปลว่าวินเก่งน่ะสิ”
“อืม เท่าที่เห็นนี่เก่งเลยแหละ ทั้งตอนฉกลูก ทักษะการเลี้ยงลูกก็ดี แล้วก็ตอนชู้ต ฝ่ายรับน่ะไม่ได้หมูเลยนะ ป้องกันหนาแน่นด้วยซ้ำ ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ”
จากนั้นเกมเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ โดยวินยังคงเป็นตัวทำคะแนนของทีมได้อย่างมากมาย จนอีกฝ่ายต้องใช้คนประกบถึงสองคน
แม้จะอยากอยู่ดูต่อ แต่สุดท้ายวราลีก็เอ่ยขอตัว เพราะนี่ก็นานมากแล้ว เธอยังต้องไปยื่นใบสมัครที่ชมรมคหกรรมต่อ พร้อมรับอาสาจากส้ม ลากคนตัวเล็กไปส่งที่ชมรมหนังสือพิมพ์ด้วย
วราลีหยิบเค้กกล้วยหอมที่เริ่มเย็นแล้วใส่ถุง จากนั้นจึงพับปากถุงให้เป็นชั้นๆ แล้วเย็บตรงจุดกึ่งกลาง ดึงปลายทั้งสองด้านขึ้นมาจรดกันแล้วเย็บอีกที
หญิงสาวมองถุงขนมที่อยู่ในมือพลางยิ้มอย่างมีความสุข โชคดีที่ชมรมคหกรรมมีอุปกรณ์ครบครัน แถมจำนวนสมาชิกก็มีไม่มาก ทำให้ทุกคนสามารถใช้เครื่องไม้เครื่องมือได้เต็มที่
เจ้าตัวอดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่เริ่มเข้าชมรมวันแรกก็ได้ลงมือทำขนมเลย แม้ว่าจะเป็นเค้กกล้วยหอมที่ทำเป็นแล้ว หญิงสาวก็ไม่เกี่ยงงอน เพราะแม้โดยรวมแล้วแต่ละสูตรจะคล้ายๆกัน ก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆที่เฉพาะเจาะจงลงไปของแต่ละสูตร เธอชอบเอาสูตรที่ได้เรียนรู้จากคนนู้นคนนี้มาทดลอง ปรับเปลี่ยนให้ได้รสชาติและเนื้อสัมผัสแบบที่ตัวเองชอบ
เงยหน้ามองนาฬิกาก็พบว่าสองทุ่มครึ่งแล้ว โชคดีที่ส่งข้อความบอกที่บ้านไว้แล้ว ทุกคนจะได้ไม่ต้องรอ เมื่อเก็บของแล้ว วราลีจึงเดินรวมกลุ่มคนอื่นๆลงไป
จวบจนผ่านโรงยิม
เมื่อเห็นไฟยังเปิดอยู่ จึงเอ่ยขอตัว กะว่าส้มอาจจะยังซ้อมอยู่ แต่พอเดินมาถึงก็พบว่าฝั่งผู้หญิงกลับกันหมดแล้ว เหลือแต่ผู้ชายที่กำลังกลับเช่นกัน
“ไม่อยากเชื่อจริงๆว่ะว่าไอ้วินมันไม่เคยเล่นทีมโรงเรียน แถมไม่ใช่ตัวแทนจังหวัดอีก แม่ง...เล่นเก่งขนาดนี้” วราลีชะงักเท้าทันทีเมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเคย
ชายหนุ่มทั้งสองค่อยๆเดินห่างออกไป
“กูก็ว่า แต่เอาจริงๆก็ไม่เคยเห็นมันแข่งในสนามเลย ไม่ว่าจะชิงแชมป์อะไร สนามไหน ไม่คิดว่ามันจะโกหกหรอกนะ แต่ฝีมือมันขัดกันจริงๆว่ะ”
หญิงสาวจึงต้องชะลอฝีเท้า เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าหล่อนแอบฟัง แต่ก็ยังมิวายได้ยินมาตามสายลม
“กูว่าได้เป็นตัวจริงชัวร์ๆ ฝีมือระดับนี้ พี่ม.5 ม.6 บางคนยังสู้มันไม่ได้เลย ถ้าได้ฝึกเข้าทีมอีกหน่อยนะ ไปไกลแน่ๆ”
“อ้อ...กูรู้แล้ว สไตล์นี้ มันน่าจะเล่นสตรีทบาสมาก่อนนะ อาจจะไม่เคยเข้าทีมตั้งโซน เพราะส่วนใหญ่มันจะบุกเดี่ยว”
“แต่ข้าว่าพื้นฐานมันดีมากเลยนะ”
วราลีชะลอฝีเท้าจนมั่นใจว่าสองคนข้างหน้าเดินห่างออกไปแล้ว จึงค่อยๆเดินตาม เพราะจิตใจมัวแต่จดจ่อกับคำพูดของผู้ชายสองคนนั้น พอร่างสูงอีกร่างเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวถึงกับสะดุ้งตัวโยน
ก่อนที่ลมหายใจจะค่อยๆผ่อนลงเมื่อเห็นชัดๆว่าคนที่ตามมาคือใคร วราลีพยายามจะเดินช้าๆเพื่อให้วินเดินแซงขึ้นไปก่อน เพราะตอนนี้เธอกำลังรู้สึกกลัว
ใช่หล่อนกำลังกลัว!!!
กลัวว่าถ้าจู่ๆเขาเกิดถามขึ้นมาว่า เธอไปนั่งแอบดูเขาทุกเช้าทำไม แค่นี้เจ้าหล่อนก็คงจะตัวแข็งทื่ออยู่ต่อหน้าเขาแน่ๆ
วราลีก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน รู้แต่ว่าชอบ...
เอ้ย ไม่ได้ชอบเขานะ เพียงแต่ชอบบรรยากาศ เวลาดูเขาเล่นแล้วมันรู้สึกระทึกใจ ฮึกเหิม เหมือนจะทำให้คนเฝ้ามองมีพลังขึ้นมาด้วย เหมือนเขาช่วยจุดไฟในตัวหล่อนให้ลุกฮือ
ทั้งๆที่เท้าเล็กๆพยายามจะก้าวช้า รอให้เขาก้าวผ่าน แต่คนข้างหลังก็ไม่ยอมเดินแซงไปสักที
คนตัวเล็กเลยเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นจ้ำอ้าวหนีแทน ขาสั้นๆของเธอรีบซอยถี่ๆเพื่อเดินหนี แต่เพราะว่ามันสั้นนั่นแหละ เรียกได้ว่าสองก้าวหญิงสาวเท่ากับหนึ่งก้าวของเขาสบายๆ สุดท้ายก็ได้แต่หอบและสามารถทิ้งห่างเขาได้
ทั้งสองยืนเคียงกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์ รอเพียงไม่กี่นาที สายที่ผ่านหน้าหมู่บ้านก็เข้ามาจอด วินเดินตามหลังเธอขึ้นมา แล้วไปยืนโหนราวอยู่ท้ายๆรถ
หญิงสาวแอบเหลือบมองเขาเป็นระยะ ผ่านไปเพียงแค่สองสามนาที ชายหนุ่มก็ยืนหลับเสียแล้ว ใช่...เขายืนหลับขณะโหนรถเมล์จริงๆ
สงสัยคงเหนื่อยจัด
จนเมื่อใกล้ถึงหน้าหมู่บ้านแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่น หญิงสาวจึงต้องเดินเข้าไปใกล้ แล้วก็พบความจริงที่ว่า
หัวของเธอยังไม่พ้นไหล่ของเขาด้วยซ้ำ นี่ความสูงที่เคยคิดว่าผ่านมาตรฐานหญิงไทยมาไกลโข ทำไมเมื่อมายืนเทียบกันแล้ว เธอถึงได้กลายเป็นคนแคระไปในบัดดล!!! เฮ้อ...
เด็กสาวพยายามเรียกเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบาราวกับยุงบิน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สามารถเรียกสติของคนที่กำลังเฝ้าพระอินทร์ได้แน่ สุดท้ายวราลีเลยจำใจต้องเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อเขา คนตัวสูงเหมือนจะสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะปรายตามามอง
“เอ่อ...ถึงหน้าหมู่บ้านแล้วค่ะ”
“อ้อ...อืม” ชายหนุ่มตอบแค่นี้ก็เดินตามลงมา
พอลงจากรถได้วราลีก็แทบเข่าอ่อน
เมื่อหันไปดูวินมอเตอร์ไซค์หน้าหมู่บ้านแล้วคาดว่าถ้าเดินไปต่อแถวคงได้คิวเฉียดๆเที่ยงคืน เด็กสาวได้แต่ส่ายหน้าอย่างยอมจำนนแล้วตัดสินใจเดินเข้าบ้านแทน
เพราะมัวแต่อยู่ในภวังค์ความคิด หัวใจดวงเล็กๆเหมือนกระตุกวูบเมื่อรับรู้ถึงคนเดินตาม
โอ้ย...ทำไมเย็นนี้ถึงได้ขวัญอ่อนอย่างนี้นะ เห็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็พาลให้ตกใจขวัญกระเจิง
เมื่อหันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นวิน เธอเพียงบ่นงึมงำกับตัวเองแล้วจึงออกเดินนำ ปล่อยเขาเดินตามมาอย่างเงียบๆ เงียบจริงๆจนเธอเริ่มหวั่นใจ
หรือว่าชายหนุ่มยังไม่ตื่น!!!
วราลีแอบเอี้ยวตัวไปมองเขาแวบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าวินไม่ได้ละเมอ เจ้าตัวก็เผลอยิ้มให้กับความคิดบ้าๆของตัวเอง
ใครเค้าจะเดินละเมอได้ไกลขนาดนี้ บ้าไปแล้วยัยลี แต่ถึงเขาเดินละเมอตามมา ก็ยังดีกว่าหล่อนต้องเดินคนเดียว
โชคดีที่หมู่บ้านของผู้มีอันจะกินตามที่ผู้คนแถวๆนี้เรียกขานค่อนข้างปลอดภัย มีแสงไฟสว่างไสวตลอด ทั้ง รปภ. ที่คอยปั่นจักรยานตรวจตรา หญิงสาวจึงค่อนข้างมั่นใจที่จะเดินกลับ กะว่าเมื่อถึงบ้านของเขาแล้ว วินคงจะแยกไป เธอจึงเดินนำไปเรื่อยๆอย่างสบายใจ ในหัวสมองวนกลับไปกินถึงเมนูพรุ่งนี้เช้าว่าจะทำอะไรให้คนในบ้านทานดี จนรู้สึกตัวอีกที เธอก็เลี้ยวเข้าซอยบ้านตัวเองมาแล้วพร้อมกับร่างสูงที่เดินตามหลัง
เอ๋?...หรือว่าเราอยู่ซอยเดียวกัน ความคิดของเธอวนไปมาขณะเดินไปหยุดควานหากุญแจหน้าบ้าน เมื่อหยิบขึ้นมาไข หางตาก็เห็นเขาหันหลังเดินกลับไป
ดวงตากลมเบิกกว้างทันทีเมื่อความคิดหนึ่งแวบเข้ามา
นี่เขาเดินมาส่งเธอเหรอ?
แล้วเธอควรจะทำอย่างไรล่ะ ควรเอ่ยขอบคุณไหม แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ เกิดหน้าแตกขึ้นมาจะทำไง คิดกลับไปกลับมาหลายตลบจนเขาเกือบจะเลี้ยวหัวมุมถนน เธอก็เผลอโพล่งออกไปก่อนจะยั้งปากทัน
“เดี๋ยวค่ะ” ร่างสูงนั้นหยุดชะงักทันที แม้ในเงาสลัว หญิงสาวก็ยังเห็นเขาเลิกคิ้วสูงคล้ายแปลกใจ
เมื่อตัดสินใจแล้ว วราลีก็วิ่งไปหยุดตรงหน้าเขาพร้อมส่งถุงเค้กกล้วยหอมให้ “เอ่อ...คิดว่าคุณ เอ่อ...เธอคงหิว เราให้ เอ่อ...เพิ่งทำเสร็จเมื่อกี้ เอ่อ...ชมรมคหกรรมน่ะ”
คนตัวเล็กก้มหน้าพูดจาตะกุกตะกักเพราะตื่นเต้นจนลิ้นแทบจะพันกัน แต่เขากลับเงียบไปนาน จนเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นความลังเลของคนตัวสูง หญิงสาวจึงรีบเอ่ยสำทับต่อ “ทานได้จริงๆ เรารับประกัน ชิมมาแล้วด้วย” ว่าแล้วก็รีบยัดของใส่มือเขา ก้มหัวให้อีกครั้ง
ได้ยินเพียงคำว่า “อืม” จากเขา แล้วก็วิ่งกลับเข้าบ้านทันทีด้วยใจที่เต้นระทึก