บทที่ 3
“ป้าก็ไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้สำเร็จหรอก หนูน่ะมีนิสัยเหมือนทั้งพ่อทั้งแม่นั่นแหละ”
“ก็แล้วทำไมพ่อถึงมองไม่เห็นล่ะคะ ทำไมพ่อไม่ยอมรับเสียทีว่าหนูก็ต้องมีความคิดของตัวเองบ้าง สาวน้อยถามอย่างจะเอาเรื่องให้ได้
“ป้าว่าเรื่องนี้มันมีอยู่ 2 เหตุผลด้วยกันนะทิชา เหตุผลข้อแรกที่สำคัญถึงกับขีดเส้นใต้ไว้ ก็คือการที่มีลูกสาวหัวแข็งดื้อดึงน่ะมักจะทำให้พ่อแม่ต้องเข้มงวดกวดขันอยู่ และน้องชายของป้าก็เคยรู้จักแล้วก็ผ่านผู้หญิงมากมายก่อนที่จะพบเลอนัวร์” เธอหยุดพูดไปเป็นครู่เหมือนจะให้คำพูดนั้นได้ซึมซับเข้าไปในจิตใจของหลานสาว และพูดต่อเมื่อเห็นว่าสาวน้อยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยประการที่สอง ก็คือการที่แม่ของหนูเสียชีวิตไปตั้งแต่หนูอายุได้เพียง 14 มันก็เลยทำให้ริชาร์ดมีความรู้สึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องเพิ่มภาระความรับผิดชอบในตัวหนูมากยิ่งขึ้น เขาก็รู้ว่าไม่อาจจะเข้าไปทำหน้าที่แทนแม่ได้ แต่ก็มีความรู้สึกว่าจะต้องคอยดูแลในทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้องเกี่ยวกับชีวิตของหนูอย่างเต็มที่ มากยิ่งเสียกว่าเมื่อครั้งที่แม่ของหนูยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้ว่าหนูจะมีป้าแต่ก็แวะมาเยี่ยมได้เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น”
“โอ...บลันช์คะ” รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวน้อยทันทีหนูไม่มีวันจะขอมีป้าคนอื่นอีกแล้วละค่ะ รู้สึกว่าทุกครั้งที่หนูต้องการจะมีใครสักคนหนึ่งไว้ปรับทุกข์ด้วย และขอคำแนะนำที่ถูกต้องแล้ว ป้าจะต้องพร้อมสำหรับหนูทุกที”
“ป้าก็ดีใจที่สามารถจะช่วยหนูได้บ้างในบางครั้ง”
“แน่ละค่ะ” ทิชาตอบอย่างหนักแน่นไหนป้าลองเล่าให้หนูฟังหน่อยสิคะว่า ทำไมวันนี้ถึงได้ออกจากถ้ำบนภูเขาโอซาร์ค เมาน์เทน ในฮ็อท สริง มาถึงลิตเติ้ล ร็อค นี่ได้ละคะ หนูคิดว่าป้าคงไม่ได้มาเพียงเพื่อจะเป็นตัวกั้นระหว่างหนูกับพ่อแน่”
“ข้อแก้ตัวก็เห็นจะมีเพียงว่า ป้าเข้ามาหาอุปกรณ์การเขียนรูปน่ะ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปากของสตรีสูงอายุแต่รู้สึกว่าถ้าไม่ได้แวะมาเยี่ยมละก็ออกจะเป็นการน่าละอายอยู่มาก เพราะว่าป้าไม่ได้มานานแล้ว ไม่ได้พบทั้งหนูทั้งริชาร์ดเสียนาน มันหาเวลาว่างแทบไม่ได้เลย”
“แล้วเราก็ต้อนรับป้าอย่างแย่ที่สุดเลยนะคะ” ความรู้สึกผิดปรากฏขึ้นในดวงตาสีเขียวเข้ม ขณะที่สบตาคู่สีน้ำตาลอ่อนหวานของผู้เป็นป้า
“ป้าไม่ได้คิดว่า ตัวเองจากไปเสียนานจนกระทั่งทางบ้านจะต้องต้อนรับกันด้วยแตรฟัน ฟาร์ หรือ ลาดพรมสีแดงหรอกน่า” บลันช์หัวเราะอย่างสบายใจ และเพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องพูดให้ห่างเสียจากตัวหลานสาวสตรีผู้มีร่างโปร่งบางก็หันกลับไปยังภาพวาดทั้งหลายที่ตั้ง และแขวนอยู่ในห้องสตูดิโอเล็กๆได้ยินพ่อของหนูบอกว่าหนูขายภาพได้เงินไม่มากเท่าไรนักนี่”
“ค่ะ ออกจะโชคร้ายไปหน่อยที่มันเป็นความจริง” ทิชาถอนหายใจเดินเข้าไปยืนใกล้ป้าแต่อย่างน้อยงานเขียนรูปพวกนี้หนูก็ทำขึ้น ด้วยความพอใจของตัวเองมากนะคะป้า เดี๋ยวนี้หนูพอจะสรุปได้แล้วว่า ควรจะต้องทำการค้ากับมันด้วย ไม่ใช่เป็นศิลปินเต็มตัวเสียทีเดียว แต่แปรงของหนูมันไม่ได้สำแดงความเป็นอัจฉริยะอย่างงานที่ป้าทำเลยจริงๆ
บลันช์พิจารณาภาพวาด ที่บรรยายออกถึงความรู้สึกของคนขายเนยแก่ๆ สีหน้าเศร้าด้วยความคิดถึงบ้าน นั่งอยู่ตรงมุมระเบียงไม้ มีดอกทานตะวันหรุบช่อดอกสีเหลืองทองอยู่เหนือราวระเบียง ที่ตั้งอยู่บนขาหยั่ง
“อันที่จริง มันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรหรอกที่เราจะทำการค้ากับงานศิลปะประเภทนี้ไปด้วยนะทิชา ว่าแต่หนูทำอะไรขายล่ะ
“ก็มีบัตรอวยพรบ้าง, ปฏิทินบ้างน่ะค่ะ แต่มันเป็นงานโฆษณาเสียเป็นส่วนมาก” ริมฝีปากของสาวน้อยเครียดขึ้นพ่อพูดถูกนะคะป้าที่ว่า หนูหาเงินได้ไม่มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองจริงๆ และถึงแม้ว่าหนูจะอยากมีบ้านของตัวเองมากสักแค่ไหน หนูก็ยังต้องรับการอุปการะจากพ่ออยู่ดี”
ด้วยท่าทีขุ่นเคืองใจ สาวน้อยตวัดเส้นผมขึ้นเหน็บไว้ใต้หู ความมันเลื่อมประดุจใยไหมของเส้นผมสะท้อนประกายอยู่ในแสงอาทิตย์ที่ทอเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้สีน้ำตาลแกมทอง ดูเป็นประกายสีแดงเจิดจ้าเหมือนเปลวไฟ
“บางครั้งหนูอยากจะให้ตัวเองเกิดมาเป็นผู้ชายจริงๆ ทิชาพูดต่อ น้ำเสียงยังบอกความขุ่นมัวในอารมณ์อยู่ไม่น้อยเกิดมาเป็นผู้หญิงมันก็ต้องอยู่ใต้อำนาจของพ่อแม่จนกว่าจะแต่งงานไป พอแต่งงานแล้วก็ต้องกลายเป็นทาสของสามีไปจนตลอดชีวิต จริงๆ นะคะ หนูเกลียดพวกผู้ชายทุกคนเลย ยิ่งมาทำท่าว่าตัวเองเหนือกว่าผู้หญิงแล้วมันยิ่งน่าหมั่นไส้ขึ้นไปอีก ที่เขาว่ากันว่าผู้หญิงเป็นเพศอ่อนแอน่ะ ก็เพราะเรามีพลกำลังมีกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชายเท่านั้น แต่รับรองว่าสติปัญญาของพวกเราเหนือกว่าแน่ ผู้หญิงน่ะ ยังไงก็ต้องฉลาดกว่าพวกผู้ชายวันยังค่ำละค่ะ”
ดวงตาสีเข้มชำเลืองแวบมาทางทิชา
“ใครกันที่ทำให้หนูรู้สึกว่าผู้ชายเป็นเพศที่หลอกลวง พ่อหนุ่มเกวินนั้น หรือว่าพ่อของหนูเองล่ะ”
“หนูว่าเท่าที่รู้จักมาผู้ชายคนไหน ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นละค่ะ” สำเนียงของทิชาบอกความจริงจังขมขื่นระคนอยู่กับแววเยาะหยันกลายๆคนบางคนเคยบอกหนูว่า ถ้าจะทำตัวให้ผู้ชายชอบละก็ มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือต้องตั้งใจฟังที่เขาพูด จะเปิดปากได้ก็ต่อเมื่อถามเกี่ยวกับตัวเขาเท่านั้น พวกผู้ชายเขาไม่สนใจในความเห็นหรือความฉลาดปราดเปรื่องของพวกผู้หญิงหรอก ทำราวกับว่าที่มาขอนัดพบนัดเที่ยวด้วย นี่ก็เป็นพระคุณอย่างสูงอยู่แล้ว”
“ป้าว่าหนูอ่าน ความคิดเห็นในหนังสือที่พวกผู้หญิงเขียนขึ้นมากไปแล้วละ” บลันช์ตำหนิหลานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผู้ชายกับผู้หญิงคือมนุษย์พวกแรกที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ และต่างก็มีความผิดพลาดติดตัวกันมาไม่มากก็น้อยทุกคน
“หนูคงไม่ตั้งใจจะบอกป้าหรอกนะว่าไม่เคยนึกชอบผู้ชายคนไหนเลยสักคน”
รอยยิ้มเขินๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวน้อยเมื่อตระหนักถึงความรุนแรงในวาจาที่ได้กล่าวออกไป “ถ้าจะพูดกันตามจริงแล้ว หนูก็มีเพื่อนผู้ชายอยู่หลายคนเหมือนกัน” เธอยอมรับอย่างเปิดเผยแต่หนูไม่เคยหลอกตัวเองให้เชื่อเลยว่า เกิดไปตกหลุมรักของใครคนไหนเข้า เพราะฉะนั้นหนูถึงไม่ใคร่จะรู้สึกอะไรนัก เมื่อพ่อเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการคบผู้ชายพวกนั้นไงคะ เพียงแต่หนูไม่ยอมให้พ่อต้องมาคอยบอกว่า ใครคนไหนที่หนูควรจะแต่งงานด้วยเท่านั้น”
“ถ้าจะพูดถึงว่าการที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ ป้าก็คิดว่าที่ริชาร์ดทำไปก็เพื่อความสุขในวันข้างหน้าของหนูนั่นแหละ แต่ป้าก็เห็นด้วยว่าวิธีการของเขาออกจะหนักข้อไปสักหน่อยเหมือนกัน” ป้าของเธอพูดอย่างเข้าใจเวลานี้เขาก็รู้แล้วนี่ว่าหนูไม่ชอบหน้าพ่อหนุ่มเกวินนั่น ก็คงจะไม่บังคับให้หนูต้องพบกับเขาอีกหรอก”
“โอย...ป้าคะ คอยดูไปเถอะ ถ้าไม่มีนายเกวินคนนี้ พ่อก็ต้องหาคนอื่นมาให้หนูอีกจนได้นั่นแหละ” มือของทิชาขวักไขว่ด้วยความรู้สึกหมดหวังเอาจริงๆที่จริง หนูรักพ่อมากนะคะบลันช์ แต่หนูคงทนอยู่กับพ่ออีกต่อไปไม่ไหวแน่ เท่าที่อยู่มาทุกวันนี้ หนูก็รู้จนเหลือจะรู้แล้วว่า พ่อพยายามที่จะเข้ามาจัดการกับชีวิตของหนูไปเสียทุกอย่าง เวลานี้หนูคิดว่ามีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ที่ตัวเองจะทำได้ คือเลิกงานเขียนรูปนี้เสีย แล้วก็หางานอื่นทำ”
“แต่ป้ามีความคิดบางอย่าง ซึ่งมันอาจจะได้ผลก็ได้นะ” บลันช์เบือนสายตาจากหลานสาวหันกลับไปมองภาพวาดที่วางอยู่ในสตูดิโอเล็กๆ นั่นหนูย้ายไปอยู่ที่ฮ้อท สปริง กับป้าก็ได้นี่”