ดวงตะวันยามบ่าย3
การมีมิตรแท้เพียงหนึ่งดีกว่ามีมิตรเทียมเป็นร้อย มันคือความจริง พิมานรู้แจ้งแก่ใจก็วันนี้ ความกังวลของเขามีเพียงเรื่องเดียวคือปานตะวัน หากลูกสาวของเขาแข็งแกร่งและหยัดยืนได้ด้วยตัวเองเขาคงตายตาหลับ
“หากเราไม่อยู่แล้ว เราจะขอนายเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตะวัน นายสัญญาได้ไหมว่านายจะทำให้เรา”
คำพูดที่ดูจริงจังแต่เป็นความลับยิ่งทำให้ชนินทร์สงสัย แต่เขารู้ว่าถ้าถึงเวลาเพื่อนคงบอกให้เขารู้เอง ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคาดคั้น
“พ่อคะมานั่งบนระเบียงทำมิวสิคแบบนี้ คิดถึงแม่เหรอคะ” หญิงสาวหยอกพ่อเล่นด้วยความเคยชิน พ่อของเธอชอบมานอนมองดาวบนระเบียงเสมอโดยเฉพาะเวลาที่คิดถึงภรรยาผู้จากไปไกลจนสุดขอบฟ้า
“แม่มองพ่ออยู่บนดาวดวงไหนนะ แม่คงอยากให้พ่อไปอยู่ด้วย”
“ตะวันไม่ให้พ่อไป แม่คงต้องมีเรื่องกับตะวันแล้วแหละ ถ้าจะมาแย่งพันเอกพิมานสุดหล่อ ไปจากด.ญปานตะวัน คุณหนูสุดสวย ” หญิงสาวอ้อมมือมากอดคอบิดาอย่างอารมณ์ดี
“ปีนี้หนูอายุสิบเก้าแล้ว โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะเรา” สองมือของชายผู้อบอุ่นยื่นไปจับหน้าลูกสาว ก่อนจะรีบหันหน้าไปทางอื่น ก่อนที่เขาจะไม่สามารถเก็บกลั้นน้ำตาแห่งความอ่อนแอเอาไว้ได้
“ โตที่ไหน เป็นลูกสาวตัวเล็กๆของพ่ออยู่เลย” ปานตะวันชายตาค้อนใส่บิดา เพราะเธอไม่อยากโตอยากเป็นลูกสาวตัวเล็กของพ่อแบบนี้ตลอดไป
“พ่อได้คำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ใต้นะ” ประโยคที่ผู้พูดเตรียมใจในการพูดมาเกือบทั้งวัน แต่...เป็นประโยคที่ผู้ฟังไม่ได้เตรียมใจมาก่อน
“ทำไมต้องไปคะ ใคร ใคร ใครให้พ่อไป”
ปานตะวันถามเสียงสูง ลุกขึ้นยืนมองหน้าบิดา สองแก้มชมพูใส อาบไปด้วยหยดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาตอนไหนไม่รู้ ความรู้สึกของปานตะวันเหมือนใครเอาก้อนหินมาทุบลงบนหัวอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ตะวันไม่ให้พ่อไป หนูจะโทรหาคุณอาชนินทร์ คุณอามีเส้นสาย บารมีมากมาย ต้องช่วยพ่อได้ คนหนุ่มๆมีตั้งมากมาย พ่ออายุขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องไปเสี่ยงอีกเหรอคะ”
คำพูดมากมายถูกผลิตออกมาจากความคิดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หัวใจมันเหมือนถูกทำร้ายอย่างสาหัส เธอมีพ่อแค่คนเดียวทั้งชีวิต ยังจะต้องมาถูกพรากไปแบบนี้ ฆ่ากันเสียเลยดีกว่าหัวใจของปานตะวันกรีดร้อง
“ไม่มีใครให้พ่อไปหรอก พ่ออยากไปเอง อีกไม่กี่ปีพ่อก็จะเกษียณแล้ว อยากใช้เวลาช่วงสุดท้ายรับใช้ชาติอย่างเต็มภาคภูมิ ” พิมานส่งยิ้มหวานให้ลูกสาวแต่หัวใจของเขาบอบช้ำจนแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่
“ แล้วที่พ่อทำงานอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้รับใช้ชาติเหรอคะ ร่วมกับตำรวจจับขบวนการค้ายาเสพติด เสี่ยงอันตรายตั้งมากมาย ไม่รู้ล่ะ ตะวันไม่ให้พ่อไป ไม่ให้ ไม่ให้ ไม่ให้ไป...” เด็กสาววัยแรกแย้มกระทืบเท้า ส่ายหัวไปมา มองแล้วเหมือนกริยาของเด็กอายุสักสิบขวบ
“อย่าทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยนะ หนูโตเป็นสาวแล้ว พ่อไปเดี๋ยวก็กลับ ที่ใต้มีแต่ญาติๆของแม่ทั้งนั้น อากาศก็ดีกว่าที่นี่ หนูสอบไปเรียนต่อที่ใต้สิ จะได้ตามไปให้พ่อดูแล อ้าว!!! พ่อพูดผิด ตามไปดูแลพ่อ ”
พิมานหยอดมุกแค่เพียงหวังให้ลูกสาวคลายจากอารมณ์โมโห เขารู้ว่าลูกสาวโกรธและเสียใจมากแค่ไหน แต่เขาจำเป็นต้องทำ เพื่อให้ลูกใช้ชีวิตต่อได้เมื่อเขาไม่อยู่แล้ว
ปานตะวันเลือกที่จะลงมาเดินเล่นปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่เธอเพิ่งได้รับเมื่อหัวค่ำ ความหว้าเหว่เริ่มเกาะกินเข้ามาในใจ ในสมองมีแต่คำถามว่า ทำไมๆๆๆๆ ต้นกระดังงาต้นนี้ต้นที่แม่ปลูก เก้าอี้ตัวนี้ที่พ่อทำมันกับมือ เธอเงยหน้ามองบ้านหลังใหญ่ สีขาว ลูกกรงระเบียงแกะสลักอย่างสวยงาม ต่อไปนี้บ้านหลังนี้จะเหลือเธอแค่คนเดียว ‘ไม่ใช่สิ เธอมีความเหงาเป็นเพื่อน ’ ปานตะวันพูดกับตัวเอง
ดวงดาวบนท้องฟ้าส่องแสงระยิบระยับ คืนเดือนนี้เป็นคืนเดือนแรม แสงของพระจันทร์ไม่สามารถบดบังความสวยงามของดวงดาวได้ แต่ความทุกข์กำลังบดบังความสดใสในใจของเธอจนหมดสิ้น ความทุกข์เป็นยิ่งกว่าแสงของพระอาทิตย์ที่เผาใหม่จิตใจของเธออย่างร้อนรุ่ม
‘นอนหรือยัง ’ เสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า ช่วยดึงหญิงสาวออกจากความทุกข์ได้ช่วงหนึ่ง
‘ยังค่ะ’
‘ทำอะไรอยู่’
‘เดินเล่นในสวนค่ะ พอดีนอนไม่ค่อยหลับ’
‘มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า เล่าให้พี่ฟังได้นะ’
ปานตะวันเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะความรู้สึกตอนนี้เธออยากคุยกับตัวเอง มากว่าคุยกับใคร ถึงแม้ว่าศิขรินจะเป็นเพื่อนผู้ชายที่สนิทเพียงคนเดียวของเธอในตอนนี้ แต่บางอย่างตะวันบอกกับตัวเองว่าควรเล่าให้ตัวเองฟังก็พอ