ดวงตะวันยามบ่าย2
“พิมาน...เป็นไงหน้าตาไม่สดชื่นเลย ” ชนินทร์นายพลผู้มีชื่อเสียงและบารมีมากมายในวงการทหารทักทายเพื่อนสนิทนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกัน
“ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่” พิมานตอบตามความเป็นจริง
“เป็นอะไร...ที่ว่าไม่ค่อยสบาย” ชนินทร์ถามเพื่อนอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะดึงมือเพื่อนเข้าไปนั่งในร้านกาแฟเล็กๆที่ตั้งอยู่หน้ากองพัน
“ เฮ้ย!! มีอะไรก็บอกกันมา ไม่ได้เป็นเพื่อนกันแค่วันสองวัน ปัญหาของนายก็คือปัญหาของเราด้วย ” สีหน้าของคนถามที่มีทั้งอารมณ์โมโห สงสัย และรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นเพื่อนเอาแต่ถอนหายใจและหลบสายตา
“ พิมาน..นายไม่เคยเป็นแบบนี้ บอกเรา เราเป็นห่วง” ชนินทร์เปลี่ยนน้ำเสียงจากดุดันเป็นอ่อนโยนเพื่อหวังให้เพื่อนของเขาเริ่มผ่อนคลายจากความวิตกกังวลและยอมเล่าถึงความทุกข์ไม่สบายใจให้เขาฟัง
สองนายทหารถึงจะมียศที่ต่างกันแต่ความเป็นเพื่อนกันมามากกว่าอายุของลูกสาวของพิมานเสียอีก หลายครั้งที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแต่ชนินทร์เป็นคนเข้าเจ้าเข้านายเก่งกว่า ตำแหน่งถึงได้แซงหน้าเพื่อนร่วมรุ่นไป
“ เมื่อวานเราไปหาหมอมา หมอ...บ...บอก ”
พูดได้เพียงเท่านี้น้ำตาลูกผู้ชายก็หยดลงมาหยดแล้วหยดเล่า สองมือแกร่งกุมรัดกันไว้แน่นจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อตัวสั่นเครือด้วยความกลัวอัดแน่นในหัวใจ ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อน
“ ตั้งสตินะพิมาน เรื่องร้ายๆเราก็ผ่านมาด้วยกันมากมาย ไม่ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนาย เราจะไม่ทิ้งนายไปไหน ทุกปัญหามีทางแก้ ”
พูดจบมือสีขาวแบบคนจีนแท้ตบลงบนบ่าของเพื่อน เพื่อหวังเรียกสติและความเชื่อมั่นของคนตรงหน้าให้กลับมาอีกครั้ง
“ เมื่อวานเราไปหาหมอ เขาบอกว่าเราเป็นม...มะเร็งตับ”
สองมือยกขึ้นมากุมหน้าด้วยกลัวว่าเสียงสะอื้นจะดังจนทำให้ผู้คนแถวนั้นได้ยิน ใครเห็นก็คงแปลกใจ ผู้ชายวัยใกล้เกษียณใส่ชุดลายพรางมานั่งร้องไห้อยู่ในร้านกาแฟ
“ เป็นก็รักษาสิ รู้ดีกว่าไม่รู้นะ เรามีเงินมีหมอดีๆเก่งมากมาย เดี๋ยวเราจะพานายไปรักษาเอง ” ชนินทร์ผู้เป็นทั้งนายและเพื่อน ฝืนพูดจาเข้มแข็งเพื่อกลบเลื่อนความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าใจเสียไปมากกว่านี้
“ หมอเขาให้รายละเอียดว่าอย่างไรบ้าง ค่อยๆบอกเรานะเกลอ สองหัวดีกว่าหัวเดียว ข้าศึกเป็นร้อยเรายังไม่กลัว จะมากลัวอะไรกับก้อนเนื้อเพียงก้อนเดียว ” คำพูดติดตลกช่วยให้คนฟังแสยะยิ้มอย่างเผลอตัว
“เขาบอกว่าเราเป็นระยะสุดท้าย มีวิธีการรักษาเพียงทางเดียวคือเคมีบำบัด แต่...”
“แต่ อะไร” ชนินทร์ตวาดด้วยความอยากรู้
“แต่โอกาสมีน้อยมาก และร่างกายของเราอาจสู้ไม่ไหว ถ้าเราไม่ให้เคมีและเราดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพมากขึ้น เราอาจอยู่ได้ สามเดือน ห้าเดือน หรือเป็นปี ” สิ้นเสียงอธิบายของพิมาน บรรยากาศรอบตัวก็ถูกความเงียบเข้าครอบงำ
“ แล้วนายเลือกทางไหน? ”
เป็นคำถามที่คนถามรู้คำตอบในใจอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการให้แน่ชัด ความเป็นเพื่อนมาเกือบหกสิบปี เขารู้จักพิมานเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่คนอย่างพิมานจะกลัวแค่ความตาย
“ เราจะไม่ทำเคมี เราไม่อยากทรมานก่อนตาย แค่ทรมานเพราะโรคก็หนักพออยู่แล้ว อย่าให้เราต้องทรมานเพราะการรักษาอีกเลย ” เป็นอย่างที่ชนินทร์คิดไว้ พิมานเลือกที่จะต่อสู้กับโรคนี้เองแทนการใช้เคมีเข้าช่วย
“ชนินทร์...เรา...” พูดได้แค่สองคำ พิมานก็เลือกที่จะก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ถูมือไปมาอย่างกระสับกระส่าย เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“ มีอะไรก็พูดมา เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกข์ของนายคือทุกข์ของเรา ” ชายเกือบแก่สองคนมองสบตาด้วยความเข้าใจกันโดยไม่ต้องมีคำพูดใดมาอธิบาย
“ เราอยากไปช่วยราชการชายแดน เราอยากไปใต้ ”
“เพราะ..”
“เรามีหลายเหตุผลด้วยกัน แต่ทุกเหตุผลคือปานตะวัน ”
ถึงแม้ทั้งคู่จะสนิทกันมากๆแต่ครั้งนี้ชนินทร์ไม่เข้าใจเหตุผลของพิมานจริงๆ คนที่เหลือเวลาในชีวิตอย่างจำกัด น่าจะอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคนที่รักให้คุ้มค่ามากที่สุด แต่นี่อะไร.. กลับอยากไปอยู่ให้ไกลจากลูกสาวคนเดียวและเป็นลูกสาวที่กำพร้าแม่อีกด้วย และในกรุงเทพฯก็ไม่ได้มีญาติของครอบครัวพิมานอยู่เลย
“เราเลี้ยงตะวันมาผิด เราไม่เคยยอมปล่อยให้เขาได้ช่วยเหลือตัวเอง เราทำตัวเป็นพ่อนกที่กางปีกปกป้องลูกอยู่ตลอดเวลา หากวันไหนเราไม่อยู่จริงๆ ปานตะวันจะอยู่อย่างไร”
ชนินทร์ส่ายหัวแสดงความไม่เข้าใจในเหตุผลและคำอธิบายที่เพื่อนพูดมาทั้งหมด
“เราไม่เข้าใจ นายทำไมไม่อยู่สอนลูกให้เข้มแข็งล่ะ”
พิมานถอนหายใจ “เฮ้อ...” ก่อนจะอธิบายความในใจของเขาที่นอนคิดมาทั้งคืน
“หากเราทิ้งเขาไว้คนเดียวตอนนี้ เขาก็จะได้ฝึกการใช้ชีวิต แบบที่ไม่มีเราอยู่จริงๆ แต่!ถ้าเกิดปัญหาอะไร เราก็ยังพอช่วยลูกได้ แต่...เป็นการช่วยแบบห่างๆ ถ้าเรายังอยู่ไม่มีทางที่เราจะปล่อยลูกให้แข็งแรงได้ เรารู้ตัวเราดี ”
“มันก็จริงของนาย เราทั้งคู่กำพร้าเมียตั้งแต่หนุ่ม ต่างก็เลี้ยงลูกมาแบบผิดๆ เพราะแค่ต้องการชดเชยความอบอุ่นและความรักที่หายไปจากแม่ของเขา แต่มันกลับทำให้เขาไม่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราจัดการให้ ไปอยู่ที่นั่นอากาศดี อยู่ใกล้กับญาติพี่น้องของวิกานดาอาจทำให้กำลังใจนายดีขึ้น ส่วนธุระที่เกี่ยวกับปานตะวันทางนี้เราจะดูแลให้”
การมีมิตรแท้เพียงหนึ่งดีกว่ามีมิตรเทียมเป็นร้อย มันคือความจริง พิมานรู้แจ้งแก่ใจก็วันนี้ ความกังวลของเขามีเพียงเรื่องเดียวคือปานตะวัน หากลูกสาวของเขาแข็งแกร่งและหยัดยืนได้ด้วยตัวเองเขาคงตายตาหลับ
“หากเราไม่อยู่แล้ว เราจะขอนายเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตะวัน นายสัญญาได้ไหมว่านายจะทำให้เรา”