ดวงตะวันยามบ่าย1
กานต์ตะวัน
ตอนที่1
ดวงตะวันยามบ่าย
“ พ่อคะ...หอมเชียววันนี้มีอะไรกินบ้างคะ ” เสียงออดอ้อนของเด็กสาววัยเพียง19 ปี ลูบท้องไปมาเริ่มรู้สึกหิวเพราะเพิ่งกลับจากโรงเรียน
“ กับข้าวเดิมๆ กินกับพ่อแก่ๆคนเดิม ไม่รู้จะมีใครเริ่มเบื่อกับข้าวฝีมือพ่อไหมนะ...” พิมาน นายทหารวัยใกล้ปลดประจำการ หยอกล้อลูกสาวคนเดียวของเขาด้วยความเอ็นดู
“ ใครกันคะ...ที่บังอาจกล้าเบื่อฝีมือทำกับข้าวที่อร่อยที่สุดในสามโลก ฝีมือพันเอกพิมานยากจะหาใครมาเทียบเทียมได้ ” ปานตะวันฉอเลาะใส่ผู้เป็นพ่อ
ตั้งแต่วิกานดาแม่ของปานตะวันตายไป สองพ่อลูกก็อยู่ด้วยกันตลอด ผ่านไปเกือบสิบสี่ปีแล้วที่วิกานดาจากครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนั้นปานตะวันอายุได้เพียงแค่ สี่ขวบ เธอแทบจะจำหน้าของมารดาไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งชีวิตของหญิงสาวมีเพียงพ่อเท่านั้นที่เป็นทุกลมหายใจของเธอ
ปานตะวันคือสมบัติชิ้นเดียวที่แสนมีค่ามากที่สุดที่วิกานดาทิ้งไว้ให้กับสามี พิมานเลี้ยงลูกสาวคนเดียวของเขาด้วยความทะนุถนอม เธอไม่เคยได้ลิ้มรสของความลำบาก ไม่รู้จักคำว่ารอ คำว่าไม่ได้ แต่ปานตะวันก็ไม่ได้กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเสียมากมาย เพียงแต่มีความอ่อนแอในหลายๆเรื่อง เพราะบิดาชอบทำอะไรแทนเธออยู่บ่อยๆ
“ มีแกงคั่วกลิ้งของโปรดตะวันด้วย...พ่อน่ารักที่สุดเลยค่ะ”
อาหารที่ขาดไม่ได้เลยของครอบครัวนี้คืออาหารใต้เพราะแม่ของเธอมีพื้นเพเป็นคนทางด้ามขวาน ปานตะวันได้ดวงตาคมสวยขนตาเป็นแพยาวเรียงรับกับใบหน้ารูปไข่จากวิกานดาหญิงสาวผู้คว้ารางวัลมาหลายเวที
“ไปเลย ไปล้างมือก่อนเลย ประเดี๋ยวพ่อจะจัดกับข้าว ตักข้าวไว้รอ” อีกหนึ่งครั้งที่ผู้เป็นพ่อจัดการทุกอย่างไว้คอยท่าลูกสาว จนบางครั้งปานตะวันเองก็เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่โต
เพียงไม่กี่นาทีอาหารบนโต๊ะก็ถูกจัดการจนแทบมองไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันเคยมีกับข้าวชนิดไหนวางอยู่บนโต๊ะ สองพ่อลูกคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน มีเรื่องที่โรงเรียนมากมายที่เด็กสาวเก็บมาเล่าให้ผู้เป็นพ่อฟัง ปีนี้เธออยู่ชั้นม.6 อีกไม่ถึงปีเธอจะต้องเตรียมตัวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
“พ่อคะ...ตะวันมองๆไว้หลายมหาวิทยาลัยเลยค่ะ ไม่รู้จะเลือกที่ไหนดี ” พูดไป มือก็ควานหาขนมบนโต๊ะเข้าปาก จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของคู่ร่วมสนทนา
“เพื่อนๆว่าจะไปต่างจังหวัดกันหมดแต่...ตะวันจะเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯค่ะ” คนพูดหันมาส่งยิ้มหวานให้ผู้เป็นพ่อ มือขาวและนิ้วเรียวงามได้รูปโผมากอดแขนบิดาอย่างเอาใจ
“ ตะวันจะอยู่กับพ่อ ไม่อยากไปอยู่ไหนไกล เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน แต่ถ้าต้องไม่ได้เจอพ่อทุกวัน ตะวันไม่เอาหรอก ” หญิงสาวพูดไปเบ้ปากส่ายหัวไปมา น้ำใสๆไหลคลอดวงตากลมคมที่แฝงด้วยความหวานจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
พิมานได้แต่กลืนน้ำลาย ความจริงแล้ววันนี้เขามีเรื่องสำคัญจะบอกกับปานตะวัน แต่บทสนทนาวันนี้หากเขาตัดสินใจพูดไป อาจจะทำให้ลูกสาวของเขารับไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงรอเวลาที่เหมาะกว่านี้
มือแข็งกระด้างที่ถือปืนมาเกือบครึ่งชีวิตลูบผมลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างเอ็นดู หยดน้ำใสๆแอบหยดจากดวงตาที่เหี่ยวย่นบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่สู้กับบางอย่างมานาน ค่อยๆหยดลงบนเส้นผมสีดำขลับอย่างที่สุดแต่ใจจะกั้นเอาไว้อยู่จริงๆ
ความลับมากมายที่ถูกปิดบังไว้ด้วยความรักและห่วงใยในตัวลูกสาว พิมานคิดอยู่เสมอว่าตลอดเวลาเขาเลี้ยงลูกสาวให้อ่อนแอเกินไป หากวันใดที่เขาไม่อยู่แล้ว เธอจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร เขาขอใช้เวลาที่เหลืออยู่ค่อยๆฝึกให้สาวน้อยยอดดวงใจของเขาค่อยๆโตขึ้น เพื่อจะได้นอนตายตาหลับในวันหนึ่งที่เขาแน่ใจว่าปานตะวันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ระเบียงกว้างของบ้านหลังใหญ่สองชั้นสีขาว ถูกตกแต่งไปด้วยไม้เลื้อยและไม้กระถางที่วิกานดาปลูกไว้ก่อนที่จะจากไป เป็นสถานที่พักใจของนายทหารผู้เคยผ่านการฝึกมามากมาย เขาไม่เคยกลัวหรือเกรงใครทั้งนั้น ขบวนการค้ายาเสพติดยังต้องยอมแพ้แก่เขา แต่วันนี้พิมานกลับต้องมากลัวความรู้สึกของลูกสาวตัวเอง ‘หนูจะเข้าใจในสิ่งที่พ่อทำไหม’
เสียงฮึมฮำในลำคอที่ไม่หวังให้ใครได้ยิน
“พิมาน...เป็นไงหน้าตาไม่สดชื่นเลย ” ชนินทร์นายพลผู้มีชื่อเสียงและบารมีมากมายในวงการทหารทักทายเพื่อนสนิทนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกัน
“ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่” พิมานตอบตามความเป็นจริง
“เป็นอะไร...ที่ว่าไม่ค่อยสบาย” ชนินทร์ถามเพื่อนอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะดึงมือเพื่อนเข้าไปนั่งในร้านกาแฟเล็กๆที่ตั้งอยู่หน้ากองพัน
“ เฮ้ย!! มีอะไรก็บอกกันมา ไม่ได้เป็นเพื่อนกันแค่วันสองวัน ปัญหาของนายก็คือปัญหาของเราด้วย ” สีหน้าของคนถามที่มีทั้งอารมณ์โมโห สงสัย และรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นเพื่อนเอาแต่ถอนหายใจและหลบสายตา