6 .ใจเต้นแรง
หลังจากอาบน้ำอีกรอบมนิษาก็รีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้มีนัดกับเพื่อนใหม่ตั้งแต่เช้า
แม้ว่าจะยังไม่รู้จักกันดีรู้แค่เขาชื่อราฟ แต่เท่าที่ได้คุยก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่คุยสนุกและคงทำให้การมาเที่ยวพักผ่อนครั้งนี้ไม่เบื่อ
หญิงสาวมาถึงห้องอาหารก็เห็นว่าราฟาเอลมารอเธออยู่ก่อนแล้ว
“มอร์นิ่งครับ หลับสบายไหม”
“มอร์นิ่งค่ะ หลับสบายมากไม่รู้เลยว่ากำลังอยู่บนเรือ”
ทั้งสองแยกกันไปตักอาหารจากนั้นก็กลับมานั่งทานด้วยกัน ระหว่างทานก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันไปเรื่อย ใช้เวลาเกือบชั่วโมงก่อนจะพากันมาเดินเล่นรับลมที่ชั้นบนสุดของเรือ
เช้านี้แดดไม่แรงเท่าไหร่ ทั้งสองคนเลยเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบ
“กลัวความสูงไหมครับ” ราฟาเอลถามขณะที่กระเช้ากำลังไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่กลัวค่ะ แต่ตื่นเต้นมากกว่า” เธอมองลงไปยังด้านท้ายเรือที่ตอนนี้เห็นคนตัวเล็กลงไปทีละนิด
“วิวบนนี้สวยดีนะครับ ถ่ายรูปไหม ผมถ่ายให้”
มนิษายิ้มให้กล้องขณะที่เขากำลังกดถ่าย มือใหญ่สั่นเล็กน้อยเพราะรอยยิ้มนั้นมันหวานจนอยากจะสั่งห้ามไม่ให้ไปยิ้มแบบนี้กับใครที่ไหน
“คุณจะถ่ายไหมคะ”
“ครับ รบกวนด้วย”
พอได้รูปเดี่ยวแล้วราฟาเอลก็ขอถ่ายรูปคู่ เขายื่นกล้องออกไปไกลจนสุดแขนแล้วให้คนตัวเล็กยืนด้านหน้า กดถ่ายไปอย่างนั้นแต่เขาไม่ได้มองไปที่กล้องเลยเพราะตอนนี้สายตาเขามองลงมาที่ใบหน้าหวานแม้เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าก็ทำเอาใจเต้นแรง
มนิษามองหน้าจอแล้วยิ้ม แต่เห็นอีกคนไม่มองกล้องเลยหันมาถามเป็นจังหวะเดียวกับที่เขากำลังจะก้มมาคุยด้วย
จมูกโด่งเลยเฉียดแก้มเนียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งสองนิ่งงันราวกับถูกไปชอร์ต หญิงสาวไม่เคยใกล้ชิดใครขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ใจเธอเต้นแรงจนกลัวว่าคนที่ยืนอยู่จะได้
“ขอโทษครับ” เรารีบถอยห่าง
“ไม่เป็นไรค่ะ เธอหันมายิ้ม” จากนั้นก็เดินไปมองวิวทะเลตรงหน้า
ราฟาเอลใกล้ชิดกับผู้หญิงมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเลยที่เขาจะรู้สึกแบบนี้กับใคร กลิ่นกายหอมสะอาดบวกกับน้ำหอมที่เขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนทำให้เขาแทบอยากจะดึงเธอเข้ามาสูดดมให้เต็มปอด
ชายหนุ่มมองมนิษาที่ยืนเหม่อมองทะเลแล้วกระตุกยิ้ม ไม่รู้ว่ามะนาวลูกนี้เป็นใครมาจากไหน แต่เขาสัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่ยอมให้เธอได้ใกล้ชิดผู้ชายคนไหนอีก ไม่สนใจว่าเธอจะมีแฟนหรือมีครอบครัวแล้วหรือเปล่า เพราะคนอย่างเขาถ้าอยากได้อะไรก็ต้องได้
หัวใจของมนิษากลับเต้นมาเป็นปกติอีกครั้งหลังจากที่ทั้งสองลงมาจากกระเช้า
เขาและเธอพากันไปทำกิจกรรมตามที่คุยกันไว้เมื่อวานจนครบทุกอย่าง
ตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินทอดน่องไปตามถนนที่เต็มไปด้วยงานศิลปะบนเกาะปีนังก่อนจะเรียกรถและพากันไปยังปีนังฮิล์ล
ทางขึ้นค่อนข้างชั้น และรถรางคนก็แน่นจนทำให้ทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
“กลัวหรือเปล่า” เพราะเห็นว่าตอนนี้เธอยืนตัวเกร็งเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
“เปล่าค่ะ แต่ไม่ค่อยชอบคนเยอะค่ะ” ราฟาเอลมองผู้ชายที่ยืนด้านหน้าและด้านข้างของเธอแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
“งั้นมายืนตรงนี้” เขาจับให้เธอมายืนด้านข้าง ส่วนตัวเองยืนหันหน้าเข้าหาใช้สองแขนยันผนังกักเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างหลวมๆ
“ไม่คิดว่าคนจะเยอะ” เธอพูดเบาๆ
“แบบนี้อึดอัดไหมครับ”
“นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นไร” ถ้าต้องเลือกระหว่างราฟกับการยืนเบียดเสียกับผู้ชายแปลกหน้าเธอเลือกที่จะยืนแบบนี้ดีกว่า
ราฟาเอลอยากให้ระยะทางขึ้นเขายาวไปอีกสักร้อยกิโลเพราะรู้สึกดีที่ได้มองหน้าเธอใกล้ๆ ได้สูดกลิ่นหอมแบบนี้
ขาลงจากเขา ความใกล้ชิดก็ยังเหมือนเดิมแต่เพิ่มเติมตรงที่เขาได้จับมือเธอไปด้วยเพราะดูเหมือนว่าหลังจากเธอรับโทรศัพท์แล้วเหมือนว่าสติของเธอจะไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่
“มะนาว คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เที่ยวไม่สนุกเหรอครับ” เขาถามขณะที่กำลังนั่งทานอาหารเย็นด้วยกัน
“มีเรื่องที่บ้านให้คิดนิดหน่อยค่ะ”
“ถ้ามันนิดหน่อยคุณคงไม่เป็นอย่างนี้ เล่าให้ผมฟังได้ไหม”
“มันค่อนข้างน่าอาย”
“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”
“คุณอยากฟังไหมล่ะ”
“ได้สิ ระบายมันออกมาสิ ผมยินดีรับฟังนะครับ”
เพราะคิดว่ากลับจากเที่ยวครั้งนี้คงไม่ได้เจอกันอีกเธอจึงตัดสินใจเล่าให้เขาฟังเพราะตอนนี้รู้สึกอึดอัดจนอกแทบระเบิด
เรื่องครอบครัวของเธอมันซับซ้อนถ้าจะเล่าให้เพื่อนรักอย่างเอริญาและลดากาญจน์ฟังรับรองได้ว่าทั้งสองคนนั้นต้องหาทางช่วยเหลือเธอแน่
แต่เธอก็ละอายใจเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือเพราะครั้งนี้เรื่องมันใหญ่เกินกว่าที่เพื่อนของเธอจะช่วยเหลือได้โดยไม่ต้องพึ่งพาทางบ้าน
“เฮ้อ มันน่าอายนิดหน่อยนะคะ”
มนิษาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเล่าให้เขาฟังว่า ระหว่างที่กำลังเดินเที่ยวอยู่บนจุดชมวิวบนปีนังฮิล์ลนั้น ทางบ้านของเธอโทรมาบอกมาบอกว่าโรงแรมกำลังมีปัญหาทางการเงินจนอาจจะต้องขายหรือให้ใครสักคนเข้ามาร่วมลงทุน
แต่บิดาของเธอไม่อยากให้โรงแรมตกไปอยู่ในมือของคนอื่นจึงเสนอกับคนที่จะมาซื้อโรงแรมให้แต่งงานกับลูกสาวของเขาเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่ยึดโรงแรมไปเป็นของตัวเองทั้งหมด
“หมายถึงคุณจะต้องไปแต่งงานเหรอครับ” แค่เพียงได้ยินเขาก็โกรธจนเก็บอารมณ์แทบไม่อยู่
“คนที่ต้องแต่งควรจะเป็นพี่น้ำหวาน”
“ควรจะเป็นเหรอครับ”
“ค่ะ ฉันลืมบอกคุณไปว่าคุณพ่อมีลูกสองคนค่ะ ฉันเป็นลูกคนเล็กและเป็นลูกเมียน้อย” มนิษาตอบอย่างไม่อาย
“แล้วทำไมพ่อคุณถึงให้คุณแต่งล่ะครับ”
“เพราะพี่หวาน พี่สาวฉันมีแฟนแล้วค่ะ และเธอก็ไม่ได้เรียนมาทางนี้”
“แล้วคุณคิดว่าจะทำยังไง”
“ถ้าฉันไม่แต่งจะเป็นการอกตัญญูไหม”
“ขึ้นอยู่กับว่าที่ผ่านมาเขาดูแลคุณดีหรือเปล่า”
มนิษาไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเธอเองได้รับการดูแลจากบิดาดีหรือเปล่าเพราะตั้งแต่มารดาเสียไปตอนเธอเรียนอยู่ชั้น ม.1 พ่อก็ไปรับเธอมาอยู่ที่บ้าน แต่ให้นอนห้องเล็กที่อยู่ติดกับห้องของแม่บ้าน
พอขึ้น ม.2 เธอก็ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ แต่ก็ยังกลับมานอนที่บ้านเดือนละครั้ง พอเข้ามาหาวิทยาลัยก็ขอทุนจากทางมหาวิทยาลัย ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็มาช่วยงานที่โรงแรมแลกกับเงินค่าขนมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่บิดาจะโอนให้
“ถ้าฟังจากที่คุณเล่า ผมว่าเขาก็ดูแลในระดับหนึ่ง แต่มันไม่มากพอที่คุณจะเอาทั้งชีวิตไปอยู่กับคนที่ตัวเองไม่รักนะครับ”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น” มนิษาไม่ใช่คนหัวอ่อนที่จะยอมบิดาแบบนั้นเพียงแต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะจัดการเรื่องยังไง