บทที่ 8
คืนนั้นเยียนหลิวหยางแทบไม่อาจข่มตานอนได้ เนื่องจากเมื่อเขาหลับตาลงครั้งใดภาพของคุณหนูรองตระกูลสือที่ตัวเปียกโชกและบนใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาก็ผุดขึ้นมาในห้วงสำนึกของเขาทุกครั้งไป
“เฮ้อ”
คนที่พยายามนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับไม่ว่าจะพลิกซ้ายหรือพลิกขวาก็ตาม ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจผุดลุกขึ้นมานั่งบนเตียงก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม แล้วจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียงเพื่อแต่งตัว
เช้ามืดมาเยือนท้องฟ้าทอแสงสีทองมาแต่ไกลรถม้าและเกวียนขนของหนึ่งลำก็เริ่มเคลื่อนออกจากประตูบ้านสกุลสือ
ภายในรถม้าคันดังกล่าวมีสือเหิงเยว่ที่ใบหน้าซีดเผือดนั่งมองตรงไปด้านหน้าไม่พูดไม่จา น้ำตาสักหยดก็ไม่มีให้ใครได้เห็น สร้างความประหลาดใจให้กับสองแม่ลูกที่ออกมายืนดูอยู่หน้าประตูเรือนหลักเป็นอย่างมาก
สือเหิงเยว่พยายามกล้ำกลืนเอาหยาดน้ำตาและความเจ็บปวดเก็บไว้ภายในใจอย่างมิดชิด นางไม่แปลกใจเลยที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็พบว่าตัวเองนั้นต้องออกเดินทางจากบ้านทันที
เรื่องที่จะต้องไปอยู่บ้านสวนในชนบทนั้นนางเตรียมใจไว้นานแล้วเพราะรู้ดีว่าหากวันไหนที่สิ้นผู้เป็นบิดาไปแล้วที่ว่างในตระกูลสือสำหรับนางก็จะไม่มีอีกต่อไป
เยียนหลิวหยางนั่งอยู่บนหลังม้าสีนิลใจร่วงไปถึงตาตุ่มเมื่อทันทีที่เลี้ยวโค้งตามถนนมาแล้วเห็นผ่านแสงสลัวของเช้ามืดว่าสือเหิงเยว่กำลังเดินขึ้นรถม้าไปต่อหน้าต่อตา แต่อีกใจก็นึกโล่งอกที่เห็นว่าอีกฝ่ายยังสามารถเดินเหินได้โดยไม่ล้มหมอนนอนเสื่อไปเสียก่อนทั้งที่เมื่อค่ำวานนั่งตากฝนอยู่นานหลายชั่วยามก็ตาม
มือแกร่งของเยียนหลิวหยางข้างหนึ่งกุมบังเหียนม้าไว้แน่นเช่นเดียวกับอีกข้างก็ดึงเอาร่มแดงที่เสียบกำอานม้าออกมาถือไว้พร้อมกันนั้นก็เร่งขี่ม้าไล่ตามหลังรถม้าของคุณหนูรองตระกูลสือไปให้ทันก่อนที่จะออกประตูเมืองไป
เมื่อรถม้าที่สือเหิงเยว่นั่งมาถึงยังหน้าประตูเมือง ก็ต้องหยุดลงอย่างกะทันหันเมื่อจู่ ๆ ก็มีใครบางคนขี่ม้าเข้ามาขวางทางเอาไว้
“หยุด คุณชายท่านจะทำอะไรขอรับ”
บ่าวผู้ที่เป็นคนบังคับม้ารีบหยุดม้าลงอย่างกะทันหันขณะที่ร้องถามอีกฝ่ายออกไปด้วยความตกใจ
คนที่นั่งบนหลังม้าสีดำไม่ตอบก่อนจะเบี่ยงม้าให้เดินไปหยุดตรงตำแหน่งด้านข้างของรถม้า ซึ่งตอนนี้เองสือเหิงเยว่ก็ได้เลิกผ้าม่านหน้าต่างออกมาดูด้านนอกด้วยความฉงนใจเมื่อจู่ ๆ รถม้าก็หยุดลงเช่นเดียวกัน
เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นว่าคนที่มาขวางรถม้าเอาไว้ก็คือคนเดียวกันกับพี่ชายคนเมื่อวานที่มายืนกางร่มให้นางอยู่นานแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรหรือจะต้องทักทายอะไรอีกฝ่าย ระหว่างที่สือเหิงเยว่ยังกระอักกระอ่วนนั้น
“ข้าให้เจ้า”
เยียนหลิวหยางก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พร้อมกับยื่นร่มสีแดงก่ำในมือของตัวเองให้กับคนที่นั่งอยู่ด้านในรถม้าในขณะที่ใบหน้าคมไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาแม้แต่นิด
“อะ เอ่อ”
เมื่ออีกฝ่ายยื่นมาให้ขนาดนั้นสือเหิงเยว่จึงต้องรับเอาร่มสีแดงก่ำคันนั้นมาถือไว้อย่างจำใจและงุนงงไม่น้อย พอจะเอ่ยถามเหตุผลที่เขาเอาให้ทำไมอีกฝ่ายก็ควบม้าจากไปไกลเสียแล้ว สือเหิงเยว่นั่งขมวดคิ้วมุ่นมองร่มสีแดงก่ำเจ้าปัญหาในมือของตัวเองไปตลอดทางอย่างไม่เข้าใจเท่าใดนัก
หลังจากเยียนหลิวหยางได้ให้ร่มประจำตัวของตัวเองกับสือเหิงเยว่ไปแล้ว เขาที่รู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจึงรีบควบม้าออกมาหลบอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อมองส่งอีกฝ่ายออกจากประตูเมือง
ภาพรถม้าและเกวียนขนข้าวของของคุณหนูรองสือค่อย ๆ ไกลจากสายตาออกไปเรื่อย ๆ ทำเอาเยียนหลิวหยางอดรู้สึกใจหายไม่ได้
เด็กหนุ่มที่ไม่เคยมีความรู้สึกเหล่านี้มาก่อน ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไรกันแน่ ได้แต่สรุปกับตัวเองไปส่ง ๆ ว่าคงเป็นเพราะเขาสงสารนางกระมัง หรือบางทีอาจจะเพราะเขาและนางมีชะตาต้องกันก็เป็นได้
“หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีกนะคุณหนูรองสือ”
เสียงทุ้มหลุดออกมาจากริมฝีปากหยัก เมื่อขบวนรถม้าของคนที่เขารีบควบม้ามาส่งค่อย ๆ ลับสายตาไปในที่สุด