บทที่ 1 เจอกันครั้งที่3…เธอก็บอกว่าเธอเป็นเมียผม !! 2
บ่ายนี้ชยากรรู้สึกเหนื่อยๆอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มจึงสั่งให้เลขาช่วยชงกาแฟมาให้ที่ห้องทำงาน ระหว่างที่รอคาเฟอีนอยู่นั้นมือใหญ่ก็วางปากกาที่หมุนเล่นลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง
สะโพกสอบเพรียวพิงกรอบหน้าต่างบานโต สายตาคมกริบมองเหม่อออกไปด้านนอก สีหน้าที่ไร้อารมณ์ดูจะไร้จุดหมาย เสียงถอนหายใจดังแผ่วๆ
สายลมเอื่อยๆผสานกับไอแดดแรงร้อนปะทะใบหน้าคมจนทั้งแสบทั้งเย็นปะปนกัน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ชีวิตที่ต้องขลุกอยู่บนตึกสูงๆ นั่งในห้องแอร์เย็นเฉียบ ชีวิตแบบนี้อาจเป็นที่อิจฉาของใครหลายๆคน แต่สำหรับเขา…มันช่างน่าเบื่อหน่าย แม้จะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โต ไม่ต้องตากแดดกรำงานหนัก แต่การที่ต้องมานั่งอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ซึ่งเรียกว่า ‘ห้องทำงาน’ ก็ชวนให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ครั้นทอดสายตาออกไปมองวิวภายนอกก็จะเห็นแต่ทัศนียภาพที่เคยคุ้น…ตึกสีขาวทั้งเล็กและใหญ่ต่างตั้งเรียงรายจนแทบจะไม่มีช่องว่างให้รถเข้าแทรก การจราจรที่วุ่นวายบนท้องถนน สีหน้าคนในเมืองที่ดูยุ่งยาก เร่งรีบทำงานแข่งกับเวลา ต่างคนต่างเอาตัวรอดในสังคมจนลืมการใช้ชีวิตแบบชาวสยามในสมัยก่อนไปเสียสิ้น
เพราะเบื่อหน่ายในสังคมที่วุ่นวาย เขาจึงปลีกตัวไปอยู่คฤหาสน์หลังงามซึ่งอยู่ห่างไกลสายตาผู้คน เป็นสถานที่อันเงียบสงบ แต่บางครั้งก็แฝงความเหงาลึกๆ อย่างน้อย…มีเวลาเพียงช่วงเย็นจนถึงตอนเช้าที่เขาจะได้พักผ่อนในที่ส่วนตัว ก็นับว่าดีที่สุดแล้วสำหรับนักธุรกิจที่วันๆมีแต่เรื่องงานเช่นเขา
ระหว่างที่ยืนทอดอารมณ์ปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อยเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่เกิดจากการจ้องเอกสารสำคัญเป็นเวลานานอยู่นั้น เสียงแจ๋นๆก็ดังขึ้น พร้อมประตูห้องทำงานของเขาที่ถูกเปิดออก
“มาแล้วค่า” ลลิสาเลขาหน้าหวานถือถ้วยกาแฟหอมกรุ่นเข้ามา พร้อมรอยยิ้มที่จงใจส่งตรงถึงเขาโดยเฉพาะ พร้อมนำกาแฟมาวางไว้บนโต๊ะให้เขา ดวงตาซึ่งติดขนตาปลอมไว้เป็นแพหนาพยายามกระพือหลายๆหนเพื่อส่งความนัยบางอย่าง
“ครับ ขอบคุณ” แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นเจ้านายจะไม่ยอมรับรู้ถึงสะพานเสริมคอนกรีตที่เธอพยายามทอดให้เลยสักนิด เพราะเขาเพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆด้วยสีหน้าเฉยชา ร่างสูงเดินมาทรุดกายลงนั่งที่เดิมพลางหยิบถ้วยกาแฟมาจิบ ส่วนสายตาก็หลุบลงอ่านแฟ้มบนโต๊ะที่เปิดคาไว้ เล่นเอารอยยิ้มกว้างต้องหุบฉับลงทันควัน
“ค่ะ” รับคำด้วยเสียงกึ่งๆเสียดาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น ก่อนที่ร่างระหงซึ่งสวมส้นสูงร่วมหกนิ้วได้ก้าวฉับๆออกไปจากห้องทันทีด้วยอารมณ์ที่เคืองขุ่น…
ชยากร…หล่ออย่างชนิดที่จะหาใครมาเทียบด้วยได้ยาก ทั้งรูปหน้าคมเข้ม ดวงตาล้ำลึกมีเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกัน เสน่ห์ของเขาก็ถูกบดบังด้วยสีหน้าที่แสนเฉยเมยจนคล้ายคนไร้ความรู้สึก
แม้ว่าผู้หญิงหลายๆคนจะมองว่าเขาเป็นผู้ชายไร้อารมณ์ ไม่น่าเข้าใกล้เพราะเขาไม่รู้จักยิ้ม
แต่สำหรับลลิสาแล้ว…เขาคือบุคคลที่น่าค้นหา และมีพลังลึกลับบางอย่างที่ทำให้เธออยากชิดใกล้ และที่สำคัญคือ…เขารวย เพราะฉะนั้น…เธอจะต้องจับเขาให้ได้ !!
เมื่อเคลียร์งานชิ้นสำคัญเกือบเสร็จแล้ว ข้อมือหนาก็ถูกพลิกขึ้นดูนาฬิกา เห็นเข็มสั้นชี้บอกเวลาบ่ายสามแล้ว เกือบถึงเวลานัดหมายกับลูกค้ารายใหญ่
เพื่อไม่ให้เสียเวลา ชยากรรีบผุดลุกขึ้นทันที หยิบแฟ้มงานมาถือไว้ พร้อมสาวเท้ายาวๆออกจากประตูห้องไป พบเลขาหน้าแฉล้มที่กำลังนั่งเสริมสวยอยู่ที่โต๊ะหน้าห้องเขา จึงเอ่ยบอกสั้นๆว่า
“ผมต้องออกไปคุยงานกับลูกค้า งานของคุณถ้าเคลียร์เสร็จหมดแล้ว จะกลับเลยก็ได้นะ วันนี้ให้กลับบ้านไวได้”
“ค่ะ…ให้ฉันไปช่วยมั้ยคะคุณชา” เธอถามเหมือนสนใจเรื่องการงาน ทว่าแววตากลับวิบวับบ่งบอกความนัยบางอย่าง…หากได้ใกล้ชิดเขามากกว่านี้ก็คงดีสินะ ต่อให้ต้องทำงานเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิม เธอก็ยอม
“ไม่เป็นไร ผมไปคนเดียวน่าจะสะดวกกว่า” ชายหนุ่มตอบเมินเฉย ก่อนเดินจากไปทันที ทิ้งให้ลลิสาเม้มปากแน่นอย่างขัดใจอยู่ตามลำพัง
ชยากรใช้เวลาในการขับรถเพียง 20 นาที รถคันหรูก็แล่นเข้ามาจอดในโรงเก็บรถของร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติเข้ามารับบริการไม่มีขาด
ตัวร้านกรุกระจกใสรอบด้าน มองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน เมนูของร้านส่วนใหญ่เป็นอาหารอิตาลี่ มีบ้างที่เป็นอาหารไทย
ชายหนุ่มเดิมตามบริกรซึ่งพาเขาไปทางโต๊ะที่ได้จองไว้ล่วงหน้า ทุตติพงษ์ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเขายังไม่มา ชยากรจึงเลือกสั่งไวน์มาจิบแก้เซ็งในระหว่างนั่งรอ