บทนำ...กลร้ายทรายเสน่หา...ติดกับดักนางระบำ...
หล่อนชม้ายตาอย่างน่ารักแกมยั่วยวน ริมฝีปากอิ่มสวยทาลิปติกสีสดงดงามราวกลีบกุหลาบแดงอิ่มน้ำขยับตอบกลับมาด้วยเสียงหวาน
“เป็นพระกรุณายิ่งเพคะ หม่อมฉันจะบังอาจรังเกียจเชื้อพระวงศ์อันสูงส่งอย่างพระองค์ได้อย่างไร นับเป็นเกียรติสูงส่งเสียอีกเพคะ” น้ำเสียงของหล่อนดุจดั่งเสียงระฆังแก้วแว่วหวาน
“เธอชื่ออะไร” เขาถามเสียงนุ่ม
“ชื่อนั้นสำคัญไฉน” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมส่งยิ้มหวานยวนใจ นัยน์ตาสีอำพันเปล่งประกายระยับงดงามฉายแววเชิญชวนเปิดเผย ก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ
“ถ้าทรงปรารถนาจะรู้จักหม่อมฉันจริงอย่างที่ทรงรับสั่ง หม่อมฉันยินดีอย่างที่สุดที่จะถวายความสาวบริสุทธิ์ถวายแก่พระองค์ ถ้าเสด็จไปหาหม่อมฉันในห้องพักคืนนี้”
คำเชิญชวนของนางระบำทำให้ทราวิสใจเต้นระทึก เสียงหวานกระซิบพร่าพรายประกอบกิริยาชม้ายตาเว้าวอนกึ่งท้าทายกึ่งเชิญชวนเป็นสิ่งกระตุ้นให้ทราวิสเกิดความสนใจมากขึ้น
“เอ้อ...นี่เธอหมายความว่า...” ลังเลที่จะกล่าวออกมา
เขาสนใจในตัวหล่อนมากกว่าความบริสุทธิ์ที่อ้างอิงนั่น หากหล่อนต้องการความสุขสบายจากตำแหน่งนางห้ามของเชื้อพระวงศ์หนุ่มโสดและเสนอตัวเองแบบนี้ เขาก็เต็มใจรับหล่อนไว้
“เพคะ หม่อมฉันทูลลา”
การกระทำของเจ้าชายหนุ่มผู้ไม่เคยสนใจพวกนางห้ามหรือนางระบำเรียกเสียงฮือฮาจากกลุ่มพระญาติหนุ่มวัยใกล้เคียงกัน ต่างเข้ามารุมล้อมซักถามล้อเลียน เพราะปกติทราวิสไม่เคยสนใจในตัวนางระบำหรือเรียกหญิงสาวสวยคนไหนที่มาเต้นระบำให้ดูหยุดพูดคุยอย่างนี้
เจ้าชายไฟซัลพระญาติหนุ่มเชษฐาของเจ้าหญิงซาบิยาห์ผู้จัดหาคณะนางรำและนางระบำมาแสดงช่วยเพิ่มเติมให้ข้อมูลหญิงสาวที่เจ้าชายทราวิสถูกตาต้องใจว่าหล่อนไม่ใช่นางระบำพื้นเมืองอาชีพเหมือนคนอื่นๆ แต่เป็นนางรำจากประเทศไทยที่มารำถวายพระพรหน้าพระที่นั่งองค์ประมุขที่เจ้าหญิงซาบิยาห์ว่าจ้างมา
การได้รู้ว่าหล่อนเป็นครูสอนนาฏศิลป์ไทย-สากลของสถาบันมีชื่อแห่งหนึ่งในประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกว่าจ้างมาร่วมกับคณะทำให้เจ้าชายทราวิสสนใจหล่อนมากขึ้น และตัดสินใจไปพบตามคำเชื้อเชิญของหล่อนเพื่อเสนอไมตรีที่จะทำความรู้จักกันต่อไป
ทราวิสนึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์ในคืนนั้นจะกลับกลายเป็นการถูกกล่าวหาว่าเข้าไปปลุกปล้ำนางรำถึงตำหนักฝ่ายใน เขาถูกพระบิดาพระมารดาและสมเด็จลุงเรียกเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ มีรับสั่งตำหนิอยู่บ้างว่าไม่ระมัดระวังตัวเพราะรู้อุปนิสัยใจคอว่าเขาจะไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียอย่างนั้น
แต่อย่างไรก็ต้องมีการลงโทษทัณฑ์ให้ผู้คนได้เห็นเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น ด้วยการต้องโทษเนรเทศออกจากนครหลวงอย่างไม่มีกำหนดอันเป็นข่าวแพร่สะพัดออกไป โดยมีพระบัญชาเป็นเรื่องภารกิจลับให้เขาไปปฏิบัติงานสำคัญของประเทศในตำแหน่งผู้บัญชาการกองงานพิเศษตระเวนชายแดน
กองกำลังของเจ้าชายทราวิสประกอบด้วยนายทหารปฏิบัติงานลับปราบปรามผู้ก่อการร้ายและโจรทะเลทรายแถบหมู่บ้านชายแดนที่แต่ก่อนเจ้าชายชารีฟพระเชษฐาของพระองค์เป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ ซึ่งหลังจากพระเชษฐาสิ้นพระชมน์ไปทางกระทรวงกลาโหมยังไม่ได้แต่งตั้งใครให้สานงานต่อ
การได้รับงานสืบต่อจากพระเชษฐาเป็นสิ่งที่ทราวิสภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เพราะเขามุ่งมั่นจะใช้ตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งทำงานที่ทางการซุ่มทำมาเกือบสองปีให้สำเร็จผลลุล่วงเสียที นั่นคือ การจับตัวเจ้าหัวหน้าใหญ่ของโจรก่อการร้ายนักค้าอาวุธสงครามผู้มีอิทธิพลสูงสุดทางชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ โดยทราวิสคิดจะใช้กลลวงเพื่อล่อจับตัวลูกน้องคนสำคัญของมันมาเพื่อสืบสาวไปให้ถึงตัวหัวหน้าใหญ่ของพวกมันได้ง่ายขึ้น
ในแผนงานของทราวิสจะมีหญิงสาวผู้สร้างความอัปยศแก่เขาในค่ำคืนงานเลี้ยงเฉลิมฉลองพระชนมายุหกสิบพรรษาพระราชาธิบดีในพระราชวังหลวงกลางมหานครอักราเซลามห์เป็นเหยื่อล่อ สาวสวยผู้นี้จะถูกนำมาเข้าร่วมในแผนกลลวงเพื่อการลงโทษที่หล่อนบังอาจใส่ร้ายทำให้เขาเสื่อมเสียเกียรติยศ และโทษทัณฑ์ครั้งนี้จะให้บทเรียนแก่หล่อนว่า...บุรุษที่หื่นกระหายราคะแท้จริงน่ากลัวอย่างไร...
ในขณะเดียวกันทราวิสก็ต้องการรู้ความจริงว่าหญิงสาวผู้กระทำการอุกอาจและบังอาจอย่างกล้าหาญเพื่อกล่าวโทษใส่ร้ายเขามีเหตุผลหรือสิ่งจูงใจจากอะไร เพราะตรวจสอบดูแล้วหล่อนกับเขาไม่เคยมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันมาก่อนเลย และสิ่งที่สำคัญสุด คือ...เขาต้องการหล่อนและต้องได้หล่อนมาเป็นของเขาให้ได้...ทราวิสย้ำกับตัวเองซ้ำว่า...ต้องได้หล่อนมาเป็นของเขาให้ได้...