บทที่ 2 กลร้ายทรายเสน่หา...โจรปล้น...
“นี่คือการปล้น ทุกคนจงอยู่ในความสงบ”
สำเนียงภาษาเหน่ออย่างเสแสร้งของคนร่างสันทัดที่ตัวเล็กเพรียวที่สุดในกลุ่มดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะพรืดจากคนตัวสูงใหญ่คนใดคนหนึ่งที่ยืนถัดตัวเขาออกไป
“ปะ...ปล้น...อะไรกัน...พวกนายเป็นใคร”
มิลินต้องพยายามอย่างหนักบังคับเสียงให้ราบเรียบ แต่มันก็ยัง สั่นอยู่ไม่น้อย ดวงตากลมโตที่มักจะได้รับคำชมอยู่เสมอว่า...สวยหวาน...ของเธอเบิ่งมองอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะหยุดจับนิ่งอยู่กับร่างสูงเพรียวที่ก้าวย่างเสมือนพยัคฆ์ย่องเข้าหาเหยื่อ ท่าทางของเขาข่มขวัญให้หวาดกลัวแทบกรี๊ดสนั่น
“โจรทะเลทราย” น้ำเสียงทุ้มแกมดุประกาศขึ้น
เขาพยักหน้าเป็นสัญญาณให้โจรตัวใหญ่อีกคนเดินมาเปิดประตูด้านที่มิลินขยับหนีมานั่งตัวลีบออก สัญชาตญาณระวังภัยผลักดันให้มิลินพุ่งตัวมาข้างหน้า
เธอเผ่นมานั่งใจเต้นระทึกอยู่ระหว่างผู้ร่วมชะตากรรมอีกสองคน...โอ ตายจริง...เธอได้มาเจอโจรทะเลทรายตัวเป็นๆที่เห็นกันจะๆในระยะแค่มือเอื้อมนี่เอง แล้วจะเป็นอย่างไร ขึ้นชื่อว่าโจรก็ต้องมาปล้นมาฆ่า...ตายละ...
“เรามาเพื่อปล้น” โจรเสียงเหน่อตะโกนรับ
“ปล้นบนถนนหลวงเนี่ยนะ พวกนายไม่กลัวเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรือไง” ปากเก่งทำงานอย่างกล้าหาญ
มิลินเชื่อว่าคงมีพวกโจรซื่อบื้อกลุ่มเดียวนี่แหละที่กล้ามาปล้นจี้บนถนนหลวงตั้งแต่ตะวันเพิ่งพ้นขอบฟ้าไม่ทันถึงชั่วโมง แล้วพวกเขาก็โชคไม่ดีที่มาปล้นเจอรถรับส่งเธอที่มีแต่เพชรทองปลอมจากเครื่องแต่งกายนางรำ
“ถ้ากลัวก็คงไม่มา อย่าพูดมาก เรามาปล้นเธอนั่นแหละ ลงจากรถดีๆอย่าให้ใครต้องเสียเลือดเนื้อ” โจรเจ้าของดวงตาคมดุข่มขู่แต่คำพูดของเขาไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ
มิลินรู้ว่าเขาหมายถึงเธอ แต่จะให้ทำตามง่ายๆหรือ เธอเหลือบมองสองหญิงที่นั่งขนาบข้าง พวกนางนั่งนิ่งเฉยราวกับรูปปั้นหายใจได้ นึกข้องใจว่าพวกนางจะไม่มีทีท่าหวั่นกลัวโจรพวกนี้บ้างหรือไร
“ออกมานี่” ลูกน้องโจรร่างใหญ่ที่ทำให้มิลินต้องเผ่นมานั่งอยู่กลางเพื่อนร่วมทางเอื้อมมือจะดึงตัวออกไป เธอเบี่ยงหลบแล้วร้องบอก
“เอาข้าวของฉันไปเถอะ มันอยู่ท้ายรถ อยากได้อะไรก็เอาไป”
มิลินรีบปลดกระเป๋าถือใบใหญ่ที่คล้องไหล่ลงข้างกายดันเก็บเอาซ่อนไว้ด้านหลัง หวังว่าไม่มีโจรคนไหนทันสังเกตเห็น เพราะในกระเป๋ามีของสำคัญที่จำเป็นใช้สำหรับการเดินทางข้ามประเทศอยู่
“เธอนั่นแหละ ออกมาซะดีๆ” โจรตาคมดุตะคอกดังจนขวัญแทบเผ่นหนีกระเจิง...ตายแล้ว เขาจะเอาตัวฉัน...จิตสำนึกของมิลินร้องลั่น
“ไม่...” เธอปฏิเสธเสียงหลง “ไหนว่ามาปล้น ข้าวของอยู่ท้ายรถอยากได้อะไรก็เอาไป” ความกลัวแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ
“ก็ปล้นเอาตัวเธอนี่ไง ลงมาซะดีๆ” เขาสั่งเสียงห้วน
“ฉันไม่ใช่ลูกเศรษฐีมีเงิน จะเอาไปทำไม กระเป๋าท้ายรถมีเครื่องทรงชฎาสร้อยสังวาลที่มีค่าอยู่บ้าง พวกนายเอาไปขายสิ” เธอบอกละล่ำละลัก นึกอยากให้ตัวเองรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลือดน่าชังขึ้นมาทันที
ขณะที่กำลังถูกโจรข่มขู่จะเอาตัวเธอ มิลินกลับเห็นว่าคนที่นั่งขนาบข้างยังนิ่งเฉย...เฮ้ ไม่คิดจะทำอะไรกันบ้างหรือ...จิตสำนึกของ เธอตะโกนลั่น...สุดจะทนพฤติการณ์แบบทองไม่รู้ร้อนของพวกนาง...บ้าจริง นั่งนิ่งอยู่ได้...เธอบ่นว่าในใจ
“พูดพล่ามอะไร บอกให้ลงมา เดี๋ยวนี้” โจรตาคมดุก้มมาตะคอก
“ฉันเป็นคนต่างชาตินะ ถ้าพวกนายเอาตัวฉันไป ต้องถูกทางการตามล่ากันแน่” มิลินขู่กลับ
“โอ๊ะ อ้างทางการซะด้วย” ลูกน้องโจรอีกคนหนึ่งเปิดปากพูเป็นประโยคแรก แต่เป็นคำพูดที่ทำให้มิลินอยากเอาทรายใต้รองเท้าบู้ต ยัดปากเขานัก
“ถ้ากลัวก็คงไม่มาหรอก หัวหน้าเอาไงดี” โจรอีกคนว่าตามก่อนจะหันไปถามผู้นำ
“จะตามพวกเราไปซะดีๆ หรือจะให้ยิงสามคนนี่ตายเป็นผีเฝ้ารถ”
โจรตาคมดุไม่พูดเปล่า เขายกปืนเล็งร่างของหญิงทั้งสอง คราวนี้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทันที พวกนางผงะมองปืน สองตาเบิกโพลงแทบถลนออกมาจากเบ้า
“อย่านะ...” ปากไวของมิลินร้องห้าม
หญิงสาวยืดตัวตรงองอาจ จากประสบการณ์ที่บิดาและพี่สาวต้องจากไปก่อนวัยอันควร เธอจึงรู้ซึ้งถึงจิตใจของผู้สูญเสีย ไม่ต้องการ เห็นครอบครัวอื่นต้องขาดพ่อหรือแม่หรือญาติพี่น้อง แม้หญิงทั้งสองกับคนขับรถไม่ได้เกี่ยวข้องผูกพันอะไรกับเธอ แต่พวกเขาคงมีลูกมีสามีหรือภรรยารอคอยอยู่ที่บ้าน
“จะเอายังไง” เขาร้องเร่ง
“นายต้องรับปากว่าจะไม่ฆ่าพวกเขา ฉันจะยอมตามไป”
การตัดสินใจที่หญิงสาวยอมเสี่ยงตายแทนเพื่อนร่วมทางที่เพิ่งพบเจอกันไม่กี่ชั่วโมง เป็นเรื่องน่าประหลาดใจของทุกคน โดยเฉพาะหัวหน้าโจรที่นำปล้นเอาตัวเธอ เขาจ้องมองมาเหมือนจะคาดไม่ถึง
“โห...สุดยอด” เสียงกระซิบดังจากลูกน้องโจรเสียงเหน่อ
“ใจเด็ดจริง” อีกคนหนึ่งกระซิบตามมา
“งั้นก็ไปกันได้แล้ว” นายโจรลดปืนลง แล้วถอยห่างออกจากรถ
“เดี๋ยวก่อน นายยังไม่รับปากเลยนะ” มิลินยังห่วงสวัสดิภาพของสามชีวิตที่ขอไว้
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” โจรตาดุบอกเสียงห้วน
มิลินคว้ากระเป๋าถือติดตัวมาพร้อมการถูกกระชากลงจากรถ เหลียวกลับไปมองให้แน่ใจว่าคนทั้งสามจะปลอดภัย แต่กลับเห็นโจรคนหนึ่งจับมือคนขับรถเขย่าเป็นการอำลาราวกับรู้จักสนิทสนมกันมาแรมปี เธอชะงักมองการกระทำของพวกเขาด้วยความสงสัย
“อุ๊ย ฉันเจ็บนะ” มิลินร้องอุทธรณ์เมื่อถูกกระชากแขนอย่างแรง
“มองอะไร รีบตามมาไวๆ” โจรตาดุว่าแล้วดึงเธอถลาตามไป
“ปล่อย ฉันเดินเองได้” เธอบิดข้อมือที่เจ็บมากขึ้นด้วยแรงบีบจากมือใหญ่
“เดินเองได้แล้วขืนตัวทำไม ตามมา ไม่ต้องพูดมาก” โจรตาดุไม่ยอมปล่อยมือ
มิลินต้องเร่งฝีเท้าเดินตามเขาให้ทัน แต่ยังคอยเหลียวมองรถที่จอดนิ่งอยู่บนถนน คราวนี้เห็นพวกเขาสามคนลงมายืนมองราวกับจะรอส่งเธออย่างนั้นแหละ
“พวกนายต้องโดนทางการออกตามล่าตัวแน่” เธอขู่เขา คอยขืนตัวเป็นระยะเพื่อให้การเดินไปข้างหน้าช้าลง เธอยังไม่อยากเดินห่างออกจากถนนเร็วนัก
“คิดว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ” เสียงเยาะหยัน ทำให้เธอมองเขาตาขวาง
“ถึงฉันจะไม่ใช่คนสำคัญ ถ้าพวกเขารู้ พวกเขาก็ต้องไม่นิ่งเฉยอยู่แน่” เธอโต้กลับ
มิลินเหลียวมองกลับไปที่ถนนอีกครั้ง นึกดีใจที่พวกเขายังไม่ออกรถจากไป เธอมองเห็นโอกาสรอดแล้ว
...ใช่ เธอต้องวิ่งกลับไปที่รถนั่น...