๒.๑ การรอคอยที่ว่างเปล่า
๒
การรอคอยที่ว่างเปล่า
เอ๊กอิเอ๊ก...เอ๊ก...
เสียงเจื้อยแจ้วของไก่ป่าขับขานกังวานทั่วไพรพนา ส่งผ่านท้องทุ่งและธารธารา ดังแว่วมาจนถึงไร่หทัยรัตน์ แสงอรุโณทัยในยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง ปลุกให้ร่างที่กำลังหลับภายใต้ผ้าห่มอุ่นต้องกะพริบแพขนตางอนยาว ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น โดยที่นาฬิกาปลุกไม่ต้องทำงานแต่อย่างใด
ภัคธีมาลุกจากเตียง เดินไปรวบผ้าม่านสีฟ้าอ่อนผูกไว้กับวงกบ แล้วผลักหน้าต่างบานใหญ่ออกไป เปิดให้ความเย็นฉ่ำในยามเช้าโชยชายเข้ามาในห้อง ก่อนจะชะโงกหน้าไปนอกหน้าต่างเพื่อให้สายลมแผ่วๆ พัดปะทะใบหน้าและสูดเอาความสดชื่นของอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดจนหายงัวเงีย
ตาคู่สวยเหลือบมองลงไปข้างล่าง เห็นน้ากำลังเดินออกไปส่งพ่อขึ้นรถจี๊ปเพื่อออกไปไร่ ภาพนั้นทำให้เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ พลางหวนคิดไปถึงครั้งที่หทัยรัตน์แม่ของเธอล้มป่วย ตอนนั้นเธออายุเพียงห้าขวบเท่านั้น มธุรสซึ่งเป็นพยาบาลมาคอยดูแลพี่สาวอย่างดีจนกระทั่งหทัยรัตน์เสียชีวิต มธุรสก็ต้องลาออกจากพยาบาลเพื่อมาทำหน้าที่เลี้ยงดูหลานสาวคนเดียว นับว่าน้าของเธอเสียสละความสุขส่วนตัวอย่างมาก ซึ่งถ้าหากว่าตอนนี้ผู้เป็นพ่อกับน้าจะลงเอยกันจริงๆ เธอก็จะสนับสนุนเต็มที่
ภัคธีมารู้ดีว่าความใกล้ชิดคงทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองรู้สึกดีและแอบมีใจให้กัน เพียงแต่ต่างคนต่างไม่กล้าแสดงออกอะไรมาก คงเพราะกลัวเธอจะคิดมากและกลัวคนจะครหา ต่างฝ่ายจึงได้แต่เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เธอคิดเอาไว้แล้วว่ามันคงถึงเวลาที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจะมีความสุขแบบไม่ต้องเกรงใจใครเสียที
ตาคู่สวยยังคงมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิด จนรถจี๊ปคู่ใจของพ่อแล่นเข้าสู่ถนนที่เป็นทางเข้าไร่ ส่วนน้าของเธอก็เดินกลับเข้าบ้าน ร่างบางยืนสูดอากาศเย็นสดชื่นอยู่ตรงนั้นต่ออีกครู่หนึ่งแล้วเดินกลับไปที่เตียง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดเครื่อง เมื่อเครื่องพร้อมทำงานข้อความก็วิ่งเข้าทันที
‘อรุณสวัสดิ์ ผมรู้ว่าคุณฝันถึงผม’
ดวงตาคู่สวยมองโทรศัพท์ด้วยความเคืองขุ่น รีบวางมันลงที่เดิมก่อนจะรีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงไปรับประทานอาหารเช้ากับน้าของตน
ภัคธีมาเดินลงมาถึงชั้นล่าง โต๊ะอาหารถูกตั้งไว้รอแล้ว มธุรสหันมายิ้มให้พลางส่งเสียงเรียกอย่างอบอุ่นอ่อนโยนเช่นเคย
“มาแล้วเหรอขิม มาเร็วมาทานข้าวต้มทะเลของโปรดของขิม น้าทำให้โดยเฉพาะ”
ภัคธีมาก้มลงมองข้าวต้มในชาม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คนเป็นน้า สอดมือเข้าที่เอวของมธุรส แล้วซบหน้าลงบนไหล่บาง ซึ่งกิริยาเช่นนั้นทำให้มธุรสต้องคลี่ยิ้ม ตาหลุบมองผมดำขลับ แล้วถามขึ้นอย่างรู้ทัน เพราะเวลาที่ภัคธีมาทำเช่นนี้ทีไร หลานสาวของตนต้องมีสิ่งที่อยากได้แน่นอน
“น้ารสขา ขอขิมกอดหน่อยสิคะ”
“หืม...อ้อนแบบนี้อยากได้อะไรอีกล่ะ”
“อยากให้น้ารสมาเป็นแม่ค่ะ”
จบคำของหลานสาว มธุรสก็หน้าแดงปลั่งอย่างอดเขินไม่ได้
“เอาอะไรมาพูดยัยขิม เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าก็เอาไปนินทาหรอก” มธุรสทำเสียงดุๆ กลบเกลื่อนความกระดากอายของตัวเอง ไม่คิดว่าจู่ๆ ภัคธีมาจะพูดเรื่องนี้
“ขิมพูดจริงๆ นะคะ ขิมรู้ว่าพ่อก็ชอบน้ารส แต่กลัวขิมจะไม่ไฟเขียวใช่ไหมล่ะคะ”
“ทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวข้าวต้มก็เย็นก่อนหรอก” ผู้เป็นน้าตัดบทแต่หน้ายังแดงซ่านทำให้ภัคธีมายิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ข้าวต้มเย็นก็อุ่นใหม่ แต่เรื่องน้ารสกับพ่อ ขิมจริงจังนะคะ”
“น้ากับพ่อเราน่ะแก่แล้วนะ อยู่รอเลี้ยงหลานช่วยกันดีกว่า”
“ใครว่าแก่คะ น้ารสยังสาวยังสวย ส่วนพ่อก็ยังหล่ออยู่เลย น้ารสกับพ่อแต่งงานกันก่อนแล้วก็ช่วยกันเลี้ยงหลานไงคะ นะคะน้ารสขิมอยากได้แม่” ภัคธีมาอ้อนอีก คราวนี้ไม่ได้อ้อนแค่ปาก แต่ยังเงยหน้าขึ้นมองน้าสาวอย่างอ้อนๆ ด้วย
“ยัยขิม...”
“เดี๋ยวเย็นนี้ขิมจะพูดกับพ่อเองค่ะ ถ้าให้น้ารสกับพ่อคุยกันเองสงสัยขิมรอเก้อแน่ๆ”
“เด็กคนนี้นี่”
มธุรสแสร้งเอ็ดกลบเกลื่อนแล้วส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มกับความน่ารักของหลานไม่ได้ ภัคธีมาคิดไม่ผิดหรอก เธอกับอยุทธแอบมีใจให้กันอยู่จริงๆ เพียงแต่ต่างคนก็ต่างเก็บความรู้สึกเอาไว้ ด้วยกลัวว่าภัคธีมาจะรับไม่ได้ เธอเองก็กระดากเหมือนกันที่หลานสาวจับได้ไล่ทัน ทั้งๆ ที่พยายามวางตัวไม่ให้เกินงามกับอยุทธมาตลอดแล้วเชียว แต่เย็นนี้ภัคธีมาจะมีเวลาได้พูดกับพ่อหรือเปล่า ในเมื่ออยุทธมีงานสำคัญที่ต้องไป ที่สำคัญดูจากท่าทางอันร่าเริงของหลานสาวแล้ว คิดว่าเมื่อคืนธาวินคงยังไม่ได้บอกอะไร!
อยุทธกลับมาจากไร่ในตอนเย็น ภัคธีมาไม่ได้เจอพ่อ เพราะตอนนั้นเข้าครัวช่วยน้าสาวทำอาหารพอดี พอเธอออกมาจากครัวก็เห็นว่าพ่อแต่งตัวหล่อเหลา คล้ายกับจะไปร่วมงานเลี้ยง ภัคธีมาจึงคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปเกาะแขนพ่อ พร้อมกับเอ่ยชมในความภูมิฐานและหล่อเหลาสมวัยของบิดา
“พ่อใครน้อหล่อจัง ว่าไหมคะน้ารส” ภัคธีมาพยักพเยิดกับน้าสาวที่เดินตามออกมาจากครัวพอดี มธุรสไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยิ้มบางๆ
“มาประจบแบบนี้อยากได้อะไรล่ะหืม”
“ฮื้อ...ใครว่าประจบ พ่อหล่อก็ชม”
“ไม่จริงมั้ง” อยุทธมองลูกสาวเหมือนรู้ทัน
“พ่ออะ เกลียดจังเลยคนรู้ทัน”
“แสดงว่าพ่อพูดถูก อยากได้อะไรล่ะ”
“อยากได้แม่ค่ะ” บอกพ่อเสร็จก็หันไปทางน้าสาว ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเกิดอาการเก้อกระดากไปชั่วขณะ
“ยัยขิม!” มธุรสเอ่ยปรามหลานสาวอย่างเขินๆ
“ก็เป็นซะอย่างนี้ มัวแต่เขินกันไปเขินกันมา นะคะพ่อขา ขิมอยากได้น้ารสเป็นแม่ค่ะ” คราวนี้ภัคธีมาเข้าเรื่องตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมทันที
“ที่พูดแบบนี้นี่ คือไฟเขียวแล้วเหรอ”
“เขียวตั้งนานแล้วค่ะ แต่พ่อไม่ยอมใช้สิทธิ์เองต่างหาก ปล่อยให้น้ารสรออยู่ได้”
อยุทธหันไปมองมธุรส สบตากันอย่างเขินๆ อยู่ครู่หนึ่ง จึงละสายตามายังลูกสาวตัวเอง
“งั้นเดี๋ยวพ่อจะใช้สิทธิ์ให้เต็มที่ รับรองว่าไม่เกินหนึ่งเดือนขิมจะได้แม่ใหม่ตามที่ขอ”
“พี่ยุทธก็ ไปบ้าจี้ตามยัยขิมได้ยังไงกันคะ” มธุรสค้อนพี่เขยอย่างอายๆ จนภัคธีมากลั้นยิ้ม
“พี่ไม่ได้บ้าจี้ พี่เองก็คิดเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะมาคุยกับรสเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียทีนะ แต่วันนี้ต้องไปงานก่อน”
พอบอกว่าจะไปงาน รอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่บนใบหน้าของอยุทธและมธุรสก็เลือนหายไปในทันที แต่มีร่องรอยของความกังวลบางอย่างเข้ามาแทน โดยที่ภัคธีมาไม่ทันสังเกต
“งานที่ไหนคะพ่อ”
“ที่ไร่เดชาธรน่ะลูก”
“งานอะไรคะ ทำไมพี่วินไม่เห็นบอกอะไรขิมเลย” คิ้วเรียวของภัคธีมามุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย เพราะเมื่อคืนนี้ธาวินไม่ได้เล่าอะไรหรือบอกว่าไร่เดชาธรจะมีงาน
“งาน...”
พูดยังไม่ทันจบอยุทธก็ทำหน้าเหยเกพร้อมกับยกมือขึ้นกุมหน้าอก ทำให้ทั้งภัคธีมาและมธุรสต่างอุทานขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ
“พ่อ! / พี่ยุทธ!”
ภัคธีมาได้สติก่อนรีบประคองพ่อไปนั่งบนโซฟาใกล้ๆ โดยมีมธุรสตามมาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ แล้วบีบนวดให้พลางถามอาการ
“เป็นยังไงบ้างคะพี่ยุทธ”
“ไม่เป็นไรมากหรอก ไม่ต้องตกใจ” อยุทธพยายามจะฝืนตัวเองเพื่อให้ลูกและน้องเมียสบายใจ
“รสบอกแล้วว่าให้ไปตรวจ ก็ไม่ยอมไปเสียที” มธุรสอดที่จะบ่นด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ทำให้ภัคธีมาเริ่มเป็นกังวล เพราะนั่นหมายความว่าพ่อของเธอไม่ได้เพิ่งมีอาการเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“พ่อเป็นแบบนี้บ่อยเหรอคะน้ารส”
“ก็สองสามครั้งแล้ว”
“พ่อไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกยัยขิม พักแป๊บเดียวก็หาย”
“ไม่ได้แล้วค่ะ พ่อห้ามชะล่าใจเด็ดขาด ต้องไปตรวจร่างกายกับหมอให้ละเอียด แล้วคืนนี้ก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” ภัคธีมายื่นคำขาดกับบิดา
“แต่พ่อต้องไปงาน”
“งานที่ไร่เดชาธรเหรอคะ ขิมจะไปแทนพ่อเองค่ะ พ่อพักผ่อนเถอะ ฝากน้ารสดูแลพ่อด้วยนะคะ”
“ขิมน้าว่า...” มธุรสทำท่าเหมือนจะเอ่ยห้าม และมีท่าทางว่าไม่อยากให้หลานสาวไปงาน
“หรือว่าน้ารสจะไปแทนแล้วให้ขิมอยู่ดูแลพ่อคะ ขิมได้หมดนะยังไงก็ได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ น้าแค่คิดว่าเราไม่จำเป็นต้องไปงานนี้ก็ได้”
“ถ้าไม่ไปมันจะเป็นการเสียมารยาทนะคะ ไร่เราอยู่ใกล้กันแค่นี้ก็เหมือนบ้านใกล้เรือนเคียง อีกอย่างขิมกับพี่วินก็เป็นแฟนกัน ครอบครัวเรายิ่งควรต้องมีใครไปร่วมงานสักคนค่ะ” ภัคธีมาให้เหตุผลและความจำเป็นที่ควรต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่ไร่เดชาธร ซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นน้าต้องหันไปหาพ่อของเธอ
“เอาไงดีคะพี่ยุทธ”
“ให้ขิมไปเถอะ”
“แต่ว่า...”
อยุทธยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกไม่ให้พูดอะไร เมื่อมธุรสทำท่าว่าจะแย้งอีก
“ไปเถอะขิม ทางนี้ให้น้ารสดูแลพ่อก็ได้”
“งั้นขิมไปแต่งตัวก่อนนะคะ ฝากพ่อด้วยนะคะน้ารส”
บอกพ่อกับน้าเสร็จภัคธีมาก็ขึ้นห้อง แต่งตัวด้วยชุดเดรสสั้นสีเหลืองมะนาว ปล่อยผมยาวสลวยให้เต็มกลางหลังโดยติดกิ๊บไข่มุกสองอันบริเวณข้างขมับ เพื่อไม่ให้เส้นผมหลุดลุ่ยลงมาให้รำคาญ เครื่องประดับมีเพียงต่างหูและสร้อยทองคำขาวจี้รูปหยดน้ำเส้นเล็กๆ เท่านั้น แต่ทั้งหมดก็ทำให้เธอดูสวยสดใสเปล่งปลั่งไปทั้งตัว
ร่างบางในชุดเดรสสีหวานเดินตรงไปยังโรงรถ เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงที่ไร่เดชาธรแทนผู้เป็นพ่อ โดยไม่รู้ว่าพ่อกับน้ามองตามด้วยความเป็นห่วงมากแค่ไหน