๒.๒ การรอคอยที่ว่างเปล่า
แม้ว่าไร่หทัยรัตน์กับไร่เดชาธรจะมีอาณาเขตติดกัน แต่การขับรถไปยังไร่เดชาธรก็กินเวลาเกือบยี่สิบนาที ทั้งนี้ก็เพราะไร่เดชาธรมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก แค่ระยะทางจากปากทางเข้าไร่จนถึงตัวบ้านก็เกือบสี่กิโลเมตรแล้ว แต่ถึงระยะทางจะค่อนข้างไกล ทว่าทัศนียภาพสองข้างทางก็สวยงามจนคนขับแทบจะลืมระยะทาง หากเป็นไร่อื่นๆ หรือแม้แต่ไร่ของพ่อเธอ ในยามกลางคืนคงจะมืดและไม่สามารถมองเห็นความงดงามใดๆ ได้ ทว่าไร่เดชาธรต่างไปจากไร่อื่นๆ แม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ความมืดก็ถูกกลบด้วยแสงสว่างจากไฟสีเหลืองส้มตลอดสองข้างทาง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะจ่ายค่าไฟฟ้าแพงแต่อย่างใด เพราะพลังงานเหล่านี้ได้มาจากแผงโซลาร์เซลล์จำนวนหลายร้อยแผง ซึ่งติดตั้งอยู่อีกฟากของไร่นั่นเอง
ด้านนอกว่าสวยแล้ว พอขับรถเข้าใกล้อาณาเขตของตัวบ้านบรรยากาศยิ่งสวยกว่าเดิม ภัคธีมาไม่ได้มาที่นี่เกือบสามปีแล้ว ตั้งแต่ธาวินไปเรียนต่อต่างประเทศ จึงไม่รู้ว่าบ้านของธาวินเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน จากที่เคยเป็นบ้านหลังใหญ่หลังเดียว ตอนนี้มีการต่อเติมและขยายอาณาเขตบ้านออกไปจนกว้างขวาง แค่อาณาเขตบ้านก็กินพื้นที่กว่าหนึ่งไร่ จะเรียกว่าเทียบเท่าคุ้มเจ้าก็ไม่ผิดนัก ผิดก็แค่ตัวบ้านไม่ได้ทำเป็นทรงล้านนาเต็มตัว แต่เป็นแบบล้านนาประยุกต์ร่วมสมัย คล้ายๆ บ้านทางยุโรปมากกว่า ซึ่งภัคธีมาก็คิดว่าเหมาะ เพราะในแถบที่ติดกับภูเขาแบบนี้ อากาศค่อนข้างจะหนาวเย็นในช่วงเวลากลางคืน
คนที่มาร่วมงานแทนพ่อจอดรถค่อนข้างไกลจากตัวบ้านพอสมควร เพราะบริเวณใกล้ๆ ตัวบ้านมีรถคันอื่นๆ ซึ่งมาถึงก่อนจอดคลาคล่ำกันจนแน่นขนัดแล้ว
ท่วงทำนองของเสียงสะล้อซอซึงที่กำลังบรรเลงอยู่ บวกกับไฟที่ประดับประดาอย่างสวยงามทั่วอาณาบริเวณ บ่งบอกชัดว่างานที่กำลังจัดอยู่ตอนนี้คืองานมงคล ภัคธีมาไม่คิดจะหาคำตอบให้เสียเวลาว่าเป็นงานอะไร เพราะถ้าพ่อของเธอถูกเชิญมา ก็น่าจะเป็นงานเลี้ยงสำคัญที่เกี่ยวกับแม่เลี้ยงแสงหล้านั่นแหละ ซึ่งจะว่าไปคนสองคนที่เธอไม่สนิทสนมด้วยในบ้านหลังนี้ ก็มีเพียงแม่เลี้ยงแสงหล้ากับศาสตราเท่านั้น ส่วนพ่อเลี้ยงภูผาที่ล่วงลับไปแล้ว เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นเจ้านายเก่าของพ่อและยังไปมาหาสู่กับพ่อของเธอเป็นประจำ ธาวินก็สนิทจนเป็นคนรัก และกับน้องสาวคนเล็กของธาวินอย่างเพียงดารา แม้จะห่างกันกับเธอหลายปี แต่ก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันและค่อนข้างจะสนิท
ร่างบางลงจากรถและเลือกที่จะเดินเข้างาน โดยไม่ได้โทร.หาธาวิน เธอตั้งใจจะให้เขาเซอร์ไพรส์ เขาคงทั้งแปลกใจและดีใจที่เห็นเธอมางานคืนนี้แน่นอน
เรียวปากอิ่มยิ้มให้ตัวเองกับความคิดนั้น เท้าเล็กๆ ที่รองรับด้วยรองเท้าส้นสูงสีขาวก้าวเข้าใกล้บริเวณงานขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เห็นว่าสนามหญ้ากว้างขวางที่อยู่ด้านหน้าของตัวบ้าน มีซุ้มกุหลาบสีขาวกับช่อดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงาม และมีคนสองคนสวมชุดคล้ายเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวยืนอยู่ตรงซุ้มดอกไม้นั้น
รอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่ทั่วไปหน้าหายวับไป อาการใจเต้นใจแกว่งแปลกๆ แล่นเข้ามาแทนที่ มองเห็นในระยะไกลยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าผู้ชายที่สวมชุดเจ้าบ่าวซึ่งยืนต้อนรับแขกอยู่หน้างานนั้นเป็นใคร แต่ทั้งรูปร่างและลักษณะการยืนช่างคุ้นตาเหลือเกิน
มือของภัคธีมาเย็นเฉียบ ขาเริ่มหนักจนแทบก้าวไม่ออกเหมือนกับมีใครเอาหินมาถ่วงเอาไว้ ตาเพ่งมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ แต่คนที่ใส่ชุดเจ้าบ่าวยืนอยู่ตรงนั้นคือธาวิน... ธาวินคนรักของเธอ... คนที่เธอหวังว่าจะได้ใส่ชุดเจ้าสาวยืนเคียงข้างเขาเหมือนเช่นภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้
ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว ม่านน้ำใสๆ เอ่อล้นจนตาเริ่มฝ้าฟาง อยากจะวิ่งหนีพอๆ กับอยากจะเห็นชัดๆ ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด และแม้ความคิดจะขัดแย้งกัน แต่ความคิดฝ่ายหลังก็เป็นฝ่ายชนะ เพราะในที่สุดเธอก็มายืนอยู่ต่อหน้าธาวิน ยืนมองนิ่งๆ เพื่อจะย้ำกับตัวเองว่านี่คือเขาจริงๆ
“ขิม!” ธาวินอุทานขึ้นอย่างตกใจ เรียกสายตาของใครหลายคนให้หันมามองอย่างสนใจ
“ค่ะ...ขิมเอง” พูดได้แค่นั้นน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้ม
“ขิม...พี่...”
“นี่ใช่ไหมคะสาเหตุที่พี่วินเปลี่ยนไป นี่ใช่ไหมคะเหตุผลที่พี่วินห่างเหิน นี่ใช่ไหมคะเหตุผลที่เมื่อคืนพี่วินทิ้งขิมไว้กับผู้ชายคนอื่น” ภัคธีมาพูดด้วยเสียงเจือสะอื้น ลืมความอับอาย ลืมสายตาทุกคู่ที่พุ่งเป้ามายังเธอ ตอนนี้สิ่งใดก็ไม่สำคัญเท่ากับความจริงและความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่
“พี่ไม่ได้ตั้งใจขิม พี่ขอโทษ”
“ทำไมเหรอคะ ขิมผิดอะไร ทำไมพี่วินถึงทำกับขิมแบบนี้”
“ขิมไม่ได้ผิดอะไร พี่ผิดเอง ผิดเองคนเดียว พี่ขอโทษ”
“บอกขิมให้ขิมรู้สึกดีสักนิดได้ไหมคะ ว่าพี่วินไม่ได้เต็มใจจะแต่งงาน พี่วินถูกบังคับให้แต่ง”
“พี่...” ธาวินพูดไม่ออก ได้แต่อึกอักและมองอดีตคนรักด้วยสายตาร้าวราน ฉายแววเสียใจและรู้สึกผิดออกมาไม่แพ้กัน
“พี่วินกับฉันเต็มใจแต่งงานกัน ไม่มีใครบังคับพี่วินทั้งนั้น”
เสียงที่ดังแทรกขึ้นเป็นเสียงผู้หญิง ผู้หญิงที่เป็นเจ้าสาวของธาวิน ผู้หญิงที่ภัคธีมาไม่อยากรับรู้ว่าเป็นใคร ทว่าสายตาที่เต็มไปด้วยม่านน้ำตานั้นก็หันไปมอง และความเจ็บปวดก็แล่นถาโถมเข้าเล่นงานหัวใจอย่างหนักหน่วงอีกรอบ เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้น ‘ปานรวี’ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอตั้งแต่ครั้งเรียนมัธยมจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัยโดยที่ธาวินเองก็รู้ดี
“เธอเองหรอกเหรอ”
“ใช่ฉันเองปานรวีไง ตาเธอไม่ได้ฝาดหรอก แต่เธอแพ้แล้วละขิม พี่วินเลือกฉัน เพราะฉะนั้นเธอกลับไปซะ อย่ามายืนร้องไห้ให้คนอื่นสมเพชอยู่แบบนี้ ฉันจำได้ว่าฉันกับพี่วินไม่ได้เชิญเธอมาร่วมงานแต่งงานของเรานี่ แต่เธอมาก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าและจำเอาไว้ว่าตอนนี้พี่วินมีภรรยาแล้ว และฉันก็หวงสามีฉันมากด้วย ดังนั้นอย่าให้ฉันเห็นว่าเธอมายุ่มย่ามอะไรกับพี่วินอีก อดีตก็ให้มันเป็นอดีต ฉันไม่ถือสา แต่ถ้าเป็นหลังจากนี้ฉันเอาเรื่องเธอหนักแน่” ปานรวีประกาศกร้าว ยกมือขึ้นเกาะแขนของธาวินอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ พร้อมกับเชิดหน้าและยิ้มเยาะใส่ภัคธีมาอย่างผู้ชนะ แต่ไหนแต่ไรภัคธีมาเป็นคู่แข่งของเธอมาตลอด ทั้งตำแหน่งดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน ทั้งกิจกรรมและการเรียนที่เด่นเกินหน้าเกินตาใครๆ ที่สำคัญเรื่องของธาวิน เธอชอบธาวิน แต่ธาวินกลับเลือกที่จะคบกับลูกสาวเจ้าของไร่เล็กๆ แทนที่จะเป็นลูกสาวเจ้าของปางไม้ใหญ่โตซึ่งน่าจะเหมาะสมกับเขามากกว่า ทว่าในที่สุดธาวินก็เป็นของเธอแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นขิมก็ขอให้พี่วินมีความสุขกับสิ่งที่พี่วินเลือกนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาค่ะ”
เป็นคำพูดที่ช่างแสนยากเย็น แต่ภัคธีมาก็รวบรวมความเข้มแข็งพูดมันออกมาทั้งน้ำตา มองผู้ชายที่เคยเป็นคนรักและเป็นความหวังด้วยสายตาของคนหัวใจแตกสลาย ก่อนจะหันหลังและค่อยๆ ก้าวเดินออกมา โดยมีธาวินตะโกนตามหลัง แต่ภัคธีมาก็ไม่หยุดฟัง
“ขิม! ขิม! เดี๋ยวก่อนขิม! ฟังพี่ก่อน!”
ร่างบางยังคงก้าวย่างไปข้างหน้าท่ามกลางน้ำตาที่นองหน้า โดยมีสายตาของคนในงานนับสิบนับร้อยที่มองมายังเธอด้วยความรู้สึกอันมากมายหลายหลาก และหนึ่งในนั้นก็มีสายตาที่เฝ้ามองด้วยความเคร่งขรึม มองตามจนกระทั่งร่างบางก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไป คนที่ยืนมองเงียบๆ ก็ขยับไปยังรถของตัวเอง ขับตามไปห่างๆ กระทั่งเห็นว่ารถของภัคธีมาหักเลี้ยวเข้าข้างทางบริเวณทางเข้าไร่หทัยรัตน์ แล้วจอดนิ่งอยู่เช่นนั้น
คนหัวใจสลายฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยนอยู่อย่างนั้น ภาพความรักความหลังเก่าๆ พร่างพรูเข้ามาในความทรงจำยิ่งทำให้เจ็บปวดร้าวลึก ผ่านไปนานหลายนาทีที่น้ำตาไหลออกมาไม่ยอมหยุด แต่มันก็ไม่ได้ช่วยชะล้างความเจ็บปวดให้เบาบางลงได้เลย ภัคธีมาคิดว่าตัวเองคงจะอยู่ในสภาพเช่นนั้นอีกนาน หากไม่มีเสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น
ร่างบางสะดุ้งโหยง มือยกขึ้นเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ความเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ เมื่อนึกถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเอง ถึงตรงนี้จะเป็นทางเข้าไร่ของพ่อเธอก็จริง แต่มันก็ไม่ได้การันตีว่าจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย ภัคธีมานึกก่อนด่าตัวเองที่มัวแต่เสียใจจนลืมคิด ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ คนที่เสียใจที่สุดก็คือพ่อกับน้า
คิดได้เช่นนั้นมือบางก็รีบลนลานจะเอื้อมไปจับคันเกียร์ แต่คนที่เคาะส่องไฟจากโทรศัพท์มือถือใส่หน้าตัวเองให้เธอเห็นเสียก่อน ภัคธีมาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่...เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เขาคงตามเธอมาจากไร่เดชาธรสินะ ตามมาเพื่อเยาะเย้ย ตามมาเพื่อเหยียบย่ำ มิน่าเล่าเขาถึงได้พูดจาคล้ายกับเย้ยหยันเรื่องธาวินตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ความขุ่นเคืองที่แล่นเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวดชั่วขณะทำให้ภัคธีมาเปลี่ยนใจ จากที่จะเข้าเกียร์ มืออีกข้างกลับกดกระจกรถให้ลดระดับลง เพื่อให้เขาเห็นว่าเธอมีสภาพเป็นเช่นไร เพื่อให้เขาสะใจเสียให้พอ
“จะร้องไห้ จะเสียใจ ทำไมไม่กลับไปร้องที่บ้าน มาจอดรถทำมิวสิกในที่มืดๆ เปลี่ยวๆ แบบนี้ทำไม ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายแค่ไหน”
ภัคธีมางงเล็กน้อยที่ถูกทำเสียงเกรี้ยวกราดใส่ เธอนึกว่าเขาจะเยาะเย้ยเธอเสียอีก แต่ทิฐิในใจก็ทำให้ไม่ไยดี ไม่คิดหาเหตุผลอื่น เพราะตอนนี้เธอแทบไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้กับคนที่ใช้นามสกุลภูวเดชาธรอีกแล้ว โดยเฉพาะเขาซึ่งน่าจะอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ ฉันจำได้ว่าเราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“เหมือนที่ตอนนี้คุณเองก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับไอ้วินแล้วใช่ไหม”
“ใช่...นับจากนี้ไปฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่วินแล้ว ก็สมใจคุณแล้วนี่ จะตามมาทำไมอีก หรือว่าจะมาเยาะเย้ยกัน เอาสิเยาะเย้ยเสียให้พอ เสร็จแล้วก็กลับไป กลับไปฉลองที่ได้น้องสะใภ้ผู้ร่ำรวยเพียบพร้อม ไม่ใช่น้องสะใภ้จนๆ อย่างฉัน จะฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนเลยก็ได้ มันเงินของครอบครัวคุณ มันเรื่องของครอบครัวคุณ” ภัคธีมาเลือกที่จะใช้ความแข็งกร้าวตอบโต้เขา ไม่ได้บอกว่าที่ไม่อยากกลับไปร้องไห้ที่บ้าน ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงพ่อ พ่อเธอกำลังไม่สบาย ถ้าเห็นสภาพของเธอในตอนนี้พ่อคงเครียดกว่าเดิม เธอแค่จะขอเวลาสักครู่เพื่อทำตัวให้เข้มแข็งมากที่สุดก่อนจะกลับบ้านก็แค่นั้นเอง แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับเธอแบบนี้
“พูดอะไรออกมา”
“พูดความจริงไง ความจริงที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนคุณคงไม่ตามไปขัดขวางพี่วินหรอก”
“ถ้าผมไม่ตามไปขัดขวาง ป่านนี้คุณอาจจะอยู่ในสถานะเมียน้อยหรือเมียเก็บของไอ้วินแล้วก็ได้ ท่าทางเมื่อคืนนี้อ่อนปวกเปียกไปทั้งตัวเลยนี่ หรืออยากเป็นแบบนั้น”
“ฉันควรจะซึ้งใจสินะ งั้นก็ขอบคุณ ขอบคุณในสิ่งที่คุณทำ แต่ฉันจะขอบคุณมากกว่านี้ ถ้าต่อจากนี้ไปคุณและคนในครอบครัวของคุณจะไม่มาข้องแวะยุ่งเกี่ยวใดๆ กับครอบครัวของฉันอีก”
พูดจบภัคธีมาก็กดปุ่มให้กระจกรถเลื่อนขึ้น จากนั้นก็ออกรถอย่างกระชาก โดยมีตาคมดุที่ใครต่อใครมักจะเกรงกลัวเสมอเวลาต้องสบประสานสายตาด้วยมองตาม กระทั่งไฟท้ายรถคันนั้นค่อยๆ ริบหรี่ลงเรื่อยๆ ตามระยะของรถที่แล่นห่างออกไป
ผู้หญิงโง่ อวดดี ทำไมไม่คิดบ้างว่าที่เขาทำไปทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เพราะเกลียด แต่เป็นเพราะ…ห่วง ห่วงมากต่างหาก