๑.๕ จุมพิต(ไร้)สิเน่หา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทางยียวนแบบนี้ใส่ เธอรู้จักเขาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อเลี้ยงภูผาเป็นเจ้านายเก่าของพ่อ พ่อของเธอเคยทำงานเป็นสัตวแพทย์ประจำไร่เดชาธร เมื่อก่อนบ้านของเธออยู่ในตัวเมือง เวลาพ่อมาทำงานเธอก็มักจะติดสอยห้อยตามรถพ่อมาเสมอ ทำให้ได้รู้จักกับลูกๆ ของนายจ้าง เธอสนิทกับธาวินมากกว่าใครๆ ในบรรดาลูกสามคนของพ่อเลี้ยงภูผา ตอนนั้นเพียงดารายังเด็กแค่สี่ขวบ เธอกับธาวินมีอายุไล่เลี่ยกัน แถมเขายังใจดีกับเธอมากอีกต่างหาก เธอจึงสนิทกับเขามากกว่าใคร ทว่ากับศาสตรานั้นไม่สนิทเลยแม้แต่นิด อาจเป็นเพราะอายุห่างกันหลายปี อีกทั้งเธอรู้สึกว่าเขาเย่อหยิ่ง ชอบวางมาดขรึมเป็นผู้ใหญ่เกินตัว และเหมือนมีกำแพงกั้นที่ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ไม่สามารถเข้าถึงเขาได้ ตอนที่ศาสตราเรียนมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรีใกล้จะจบ เธอเพิ่งจะเข้าเรียนมัธยม หลังจากจบเขาก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศทันที เมื่อกลับมาก็กลายเป็นหนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ที่สาวๆ ทั้งละแวกใกล้ละแวกไกลเทียวไปเทียวมามิได้ขาด
ภัคธีมาจำได้ว่าพ่อพาเธอกับแม่ย้ายมาจากตัวเมือง หลังจากพ่อเลี้ยงภูผาแบ่งขายที่บริเวณชายไร่อีกฝั่งหนึ่งให้ในราคาที่ถูกแสนถูก เรียกว่าให้เปล่ายังได้ ทั้งนี้เพราะพ่อเลี้ยงภูผาสนิทสนมกับพ่อของเธอมาก และได้รู้ว่าหทัยรัตน์แม่ของเธอฝันอยากจะมีบ้านไร่สวยๆ เป็นของตัวเอง หลังจากปลูกบ้านแล้ว พ่อก็ยังคงทำงานกับพ่อเลี้ยงภูผา จนกระทั่งพ่อเลี้ยงภูผาเสียชีวิต แม่เลี้ยงแสงหล้าก็เข้ามาดูแลงานแทน จนลูกชายคนโตเรียนจบกลับมารับช่วงต่อจากแม่เลี้ยงแสงหล้า พ่อของเธอจึงลาออก แล้วมาทำไร่ข้าวโพดและฟาร์มม้าเล็กๆ ของตัวเอง โดยมีคนงานที่เคยสนิทสนมกันตั้งแต่ทำงานอยู่ไร่เดชาธรออกมาช่วยสี่ห้าคน
“ว่าไงทำไมเงียบไปล่ะ...หรือว่าคุณก็คิด” เขาพูดแบบคนหลงและมั่นใจในตัวเองเอามากๆ แบบรู้ใจคนอื่นไปหมด ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ชายที่ภัคธีมาเกลียดมากที่สุด
“ขิมไม่อยากจะพูดกับคนร้ายกาจแบบคุณต่างหาก”
“คุณก็ปากร้ายไม่เบา”
“ไม่ได้เสี้ยวของคุณหรอก”
“ขอบคุณที่ชม” เขาผงกศีรษะรับพร้อมกับหัวเราะร่าอย่างถูกใจ
ทั้งคู่ยังคงทุ่มเถียงกันมาเรื่อยๆ ตลอดทาง จนกระทั่งรถของศาสตราแล่นมาจอดที่หน้าบ้านหทัยรัตน์ ภัคธีมารีบปลดเข็มขัดนิรภัย ตั้งใจจะผลักประตูลงไปแล้วเข้าบ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าคนที่ร้ายกาจราวกับซาตาน แต่เธอก็ชะงักเหมือนนึกอะไรได้ แล้วหันไปต่อว่าเขาอีกหนึ่งยกอย่างคนอารมณ์ค้าง โดยไม่รู้ว่านั่นไม่ต่างอะไรกับการหาเรื่องใส่ตัว
“คุณเป็นพวกมีปมตั้งแต่เด็กใช่ไหม ตอนเด็กพ่อแม่ไม่รักหรือไงถึงมีพฤติกรรมแบบนี้”
“หยุดพูด แล้วลงไปซะขิม”
“ขิมไม่หยุด! ขิมจะพูด คุณมันพวกขี้อิจฉา พวกขาดความรัก จึงระบายออกมาด้วยการทำตัวบ้าอำนาจ เที่ยวบังคับใจคนโน้นคนนี้”
“ผมบอกให้หยุด” คราวนี้น้ำเสียงไม่ได้เจือไว้ด้วยการล้อเล่นเหมือนเคย แต่พูดเรียบๆ ขรึมๆ ซึ่งถ้าคนที่รู้จักพ่อเลี้ยงศาสตราจะรู้ดีว่าควรต้องออกห่างเขาให้ไกล
“ขิมจะพูด คุณจะทำไม คุณมันก็แค่พวกขี้ขลาดที่ใช้ความก้าวร้าวฉาบฉวยความอ่อนแอของตัวเอง คุณมันก็ดีแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า พยายามทำตัวเป็นพระเอกให้ใครต่อใครเห็น แต่จริงๆ แล้วคุณมันเลวที่สุด”
คำพูดนั้นทำให้ศาสตราโกรธจัด ทันใดนั้นร่างสูงก็โน้มตัวเข้าหาเบาะด้านที่เธอนั่งอยู่ ลมหายใจอุ่นเป่ารินรดที่ใบหน้า หญิงสาวผวาเฮือกดันแผ่นหลังตัวเองติดกับเบาะ มือสีแทนแข็งคร้ามตะครุบเข้าที่ต้นแขนของเธอแน่น ดึงร่างแน่งน้อยจนลอยหวือปะทะอกแกร่งราวกับหยิบตุ๊กตา
ภัคธีมาพยายามดิ้นรนสุดชีวิต กำปั้นน้อยๆ รัวทุบที่หน้าอกแกร่งอย่างไม่คิดจะยอมแพ้ ศาสตรารวบมือเล็กๆ ของเธอไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างสอดเข้าไปด้านหลังของเธอดันให้หน้าอกอวบเบียดเข้ากับอกแกร่งจนแนบชิด
“ปล่อยนะ อย่ามาถูกตัวฉัน ฉันเกลียดคุณ! เกลียด!”
สิ้นคำว่าเกลียด ริมฝีปากหยักก็จาบจ้วงระดมจุมพิตรุนแรงอย่างต้องการสั่งสอน มอบประสบการณ์ร้อนรุ่มวาบหวามให้เธอได้รู้จักเป็นครั้งแรกในชีวิตสาว ใช่...มันคือครั้งแรกกับการจูบแบบปากประกบปาก กับธาวินเธอไม่เคยจูบกันแบบนี้ เขาแค่กอด แค่หอมแก้ม แค่หอมหน้าผาก ไม่เคยทำอย่างที่ศาสตราทำอยู่ตอนนี้
เสียงที่พยายามจะเปล่งออกมาว่ากล่าวเขาจมหายไปในลำคอ เมื่อเรียวปากอิ่มเต็มถูกประกบปิดสนิทแนบแน่น ภัคธีมาผงะศีรษะหนีแต่ถูกนิ้วเรียวแข็งสอดเข้าที่ท้ายทอยตรึงให้ใบหน้าสวยหวานอยู่กับที่...
ม่านตาคู่สวยเบิกโพลง เมื่อศาสตราใช้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าทุกด้าน บังคับให้เธอเผยอปากขึ้นรับลิ้นของเขา จากนั้นลิ้นหนาอุ่นซ่านก็ล่วงล้ำชำแรกเข้ามาในปากของเธอ ภัคธีมาตัวอ่อนและแข็งสลับกัน นึกไม่ถึงว่าจะถูกเขารุกรานอย่างอุกอาจเช่นนี้ จูบของเขาดิบเถื่อนแต่ชวนวาบหวาม ทั้งล้วงลึกชอนไชไซ้เข้าไปราวกับจะสูบเอาลมหายใจออกจากร่างของเธอให้ปลิดปลิว
ภัคธีมาหลุดเสียงครางออกมาอย่างผาดแผ่ว ศาสตราฟังเสียงนั้นอย่างพึงพอใจ เขาช่วงชิงเอาความหวานอันแสนพิสุทธิ์จนพอใจจึงค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างอดที่จะเสียดายนิดๆ ไม่ได้ ดวงตายาวรีสีนิลเปล่งประกายระยิบระยับในขณะที่ภัคธีมาหอบหายใจแรงทั้งโกรธทั้งอับอายระคนกัน เมื่อได้สติมือเล็กๆ จึงตวัดเข้าที่ใบหน้าคมคายเต็มแรงทันที
เพียะ!!
“ฉันเกลียดคุณ!”
ภัคธีมาตะโกนลั่น เปิดประตูรถด้วยมือไม้ที่สั่นเทา ก่อนจะก้าวพรวดพราดลงจากรถและวิ่งเข้าบ้านไปอย่างไม่เหลียวหลัง
ร่างอรชรทรุดตัวนั่งลงบนเตียงกว้าง มือบางยกขึ้นถูริมฝีปากตัวเองแรงๆ หากแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกเจ็บ เพราะตอนนี้บริเวณเดียวที่รู้สึกว่าเจ็บที่สุดก็คือหัวใจดวงน้อยของเธอนั่นเอง เสียงรถซึ่งกำลังแล่นออกไปทำให้ภัคธีมานึกแช่งชักหักกระดูกคนขับด้วยความเจ็บใจ ผู้ชายคนนั้นร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าเธอเป็นคนรักของน้องชายยังกล้าลวนลามอย่างอุกอาจหยาบคายดิบเถื่อนแบบนั้น และที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นก็คงเป็นเพราะ...เกลียดเธอ!
ความคิดนั้นทำให้ขอบตาร้อนผ่าว เธอจะมองหน้าธาวินเต็มตาได้ยังไง ในเมื่อจูบแรกที่ควรจะเป็นของเขาถูกปล้นชิงไปแล้ว และวันข้างหน้าหากเธอต้องแต่งงานกับธาวิน เธอจะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ภัคธีมาต้องกะพริบตาไล่หยดน้ำตาที่กำลังจะปริ่มขอบตาให้ไหลย้อนลงไปข้างใน ก่อนจะตะโกนถามออกไป
“ใครคะ?”
“น้ารสเองจ้ะ”
เมื่อรู้ว่าผู้เป็นน้ามาเคาะหญิงสาวจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วจึงค่อยลุกขึ้นไปเปิดประตูให้
“น้ารสยังไม่นอนอีกเหรอคะ”
“ยังนอนไม่หลับ พอดีได้ยินเสียงรถก็เลยคิดว่าขิมคงจะกลับมาแล้ว” มธุรสตอบพลางสังเกตสีหน้าของหลานสาวไปด้วย คิ้วของผู้ เป็นน้าขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าภัคธีมามีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “ไม่สบายหรือเปล่าขิม?”
คนถูกถามพยายามปั้นหน้าให้สดใสร่าเริงและยิ้มให้ เพื่อไม่ให้น้าสาวสงสัยและพลอยไม่สบายใจไปด้วยหากรู้ว่าสาเหตุที่เธอเป็นเช่นนี้นั้นเพราะอะไร
“สบายดีค่ะน้ารส”
“แล้วทำไมหน้าซีดแบบนั้น ตาวินทำอะไรให้ไม่สบายใจหรือเปล่า” มธุรสถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าและแววตาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าหรอกค่ะ สงสัยขิมจะเพลีย” เธอตอบไม่ตรงตามความจริงสักนิด
“อืม...ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อยที่ตาวินไม่พากลับดึก”
ภัคธีมาเกือบจะหลุดปากออกไปว่าคนที่มาส่งเธอไม่ใช่ธาวิน หากแต่เกรงว่าผู้เป็นน้าจะซักต่อเธอจึงเลือกที่จะไม่บอกความจริง
“พอดีพี่วินรีบกลับน่ะค่ะ” เสียงหวานตอบสั้นๆ พร้อมๆ กับคลี่ยิ้มออกมาเจื่อนๆ อย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“งั้นน้าไม่กวนแล้วนะ ไปอาบน้ำแล้วนอนเถอะจ้ะ”
“ค่ะ...ฝันดีค่ะน้ารส”
หลังจากมธุรสกลับห้องแล้ว ภัคธีมาก็สลัดความคิดวุ่นวายทิ้งแล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอน แต่แล้วเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น มือบางจึงเอื้อมไปหยิบมากดดู
“ผมถึงบ้านแล้วนะ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
ร่างอรชรเกือบจะกรี๊ด แต่ก็ทำเพียงแค่เม้มปากเข้าหากันแน่นด้วยความเจ็บใจ ถึงเบอร์นั้นจะไม่ขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์ใคร เพราะเธอไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่อง ทว่าข้อความแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อเลี้ยงศาสตรา คนที่เพิ่ง...
ภัคธีมาหน้าร้อนด้วยความเกลียด พยายามตั้งสติไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอจะลืม ลืมว่าเขาทำอะไรเลวๆ กับเธอไว้บ้าง เขาคงส่งข้อความมาเย้ย ถ้านึกว่าเธอจะเงียบละก็... ขอบอกว่าศาสตราคิดผิด คนอย่างเขาต้องได้รับการตอบโต้แบบเจ็บแสบถึงจะสาสม ไม่อย่างนั้นคงเที่ยวข่มเหงรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอยู่ร่ำไป
‘ขิมเสียใจมากที่คุณไม่รถคว่ำตายระหว่างทาง’
เธอส่งข้อความกลับไปหาเขาทันที
‘ถ้าผมตาย ใครจะมามอบจุมพิตอันแสนดูดดื่มให้คุณล่ะ’
เขาส่งกลับมาในอีกไม่ถึงนาที ข้อความนั้นทำให้ภัคธีมาโกรธจนแทบจะปาโทรศัพท์ในมือทิ้งด้วยความเจ็บใจ
‘ต่อให้ทั้งโลกเหลือคุณเป็นผู้ชายคนเดียว ขิมก็จะไม่ชายตาแล ไปตายซะ!’
เธอกดส่งข้อความกลับไป ก่อนจะปิดเครื่องโทรศัพท์แล้วข่มตาให้หลับลง เพราะคิดว่าป่วยการที่จะตอแยกับคนพรรค์นั้นอีก