๑.๔ จุมพิต(ไร้)สิเน่หา
ว่าแล้วร่างสูงกำยำก็ก้าวเข้ามาประชิด ก่อนจะกระชากแขนเล็กๆ ดึงให้เดินตามไปยังฟลอร์เต้นรำที่รายล้อมไปด้วยคู่ของหนุ่มสาวซึ่งกำลังอิงแอบแนบซบกันไปตามท่วงทำนองของบทเพลง ลำแขนแข็งแรงทั้งสองข้างสอดเข้าที่เอวเล็กของเธอ ร่างอรชรดิ้นขลุกขลักพยายามขืนตัวออกห่าง แต่คนร้ายกาจยิ่งโอบกระชับวงแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม แรงกอดของเขาทำให้ทรวงอกนุ่มหยุ่นปะทะอกกว้างของเขาจนแนบชิด จนรู้สึกได้ถึงความแน่นตึงของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ทำให้ภัคธีมาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
“ดิ้นทำไม ไหนบอกว่าอยากกอดกันอวดชาวบ้าน”
“ขิมอยากกอดกับพี่วิน ไม่ใช่คุณ”
“รสจูบของไอ้วินซาบซ่านมากไหม”
“หยุดพูด หยุดถามเรื่องบ้าๆ พวกนี้เสียที มันเรื่องส่วนตัวที่ขิมไม่จำเป็นต้องบอกใคร” ภัคธีมาต้องเงยหน้าขึ้นพูดกับเขาเพราะเขาสูง ตระหง่านค้ำศีรษะ ส่วนเธอสูงแค่หัวไหล่เขาเท่านั้น
“เคยนอกใจไอ้วินแล้วลองจูบกับคนอื่นบ้างหรือเปล่าล่ะ” เขายังคงถามต่ออย่างไม่คิดจะสนใจว่าภัคธีมาจะเคืองขุ่นแค่ไหน
“ขิมไม่เคยนอกใจพี่วิน และไม่เคยคิดจะให้ใครจูบหรือจูบกับใคร”
“ดีนี่...ไอ้วินมันรู้คงชื่นใจตายที่มีแฟนแสนซื่อบื้อแบบนี้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาลองจูบกับผมหน่อยไหม เผื่อจะได้เอาไว้เปรียบเทียบรสชาติ ว่าระหว่างพี่กับน้องใครจะเผ็ดร้อนถูกใจคุณมากกว่ากัน”
เจ้าของใบหน้าคมคายก้มลงมาถามใกล้ใบหน้าสวยหวาน ดวงตาคมดุไหวระริกเมื่อหลุบมองริมฝีปากรูปกระจับนั้น เขาทำท่าเหมือนกำลังจะจูบ ทำเอาลมหายใจของภัคธีมาแทบจะหยุดชะงัก ทว่าเขากลับไม่จูบ แต่ไล้มือแกร่งไปตามสะโพกบั้นท้ายงอนงาม เล่นงานแบบนั้นจนร่างบางขนลุกซู่ไปทั้งร่างแทน
“บ้า! คุณมันเลว” เสียงหวานแหวลั่น
“เลวตรงไหน”
“ก็เลวตรงที่คิดจะทำอะไรแบบนี้กับแฟนน้อง ทำเลวๆ ลับหลังน้อง คุณเป็นพี่ชายประเภทไหนกัน”
“เพิ่งรู้ว่าตัวเองเลวที่ชวนผู้หญิงจูบ ผมก็นึกว่าคุณกำลังรอให้ผมจูบอยู่เสียอีก เห็นยืนนิ่ง แถม...เผยอปากแบบเชิญชวนอีกต่างหาก” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงล้อเลียน
“คุณมันหยาบเกินกว่าจะบรรยาย! ป่วยการจะเสวนาด้วย ปล่อยนะ ขิมจะกลับ!”
“โอเคกลับก็กลับ” น้ำเสียงทุ้มลึกเอ่ยขึ้นก่อนจะคลายวงแขนออกจากเอวเล็ก ทำเอาภัคธีมารู้สึกงงเล็กน้อยที่จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนท่าทีกะทันหันแถมยอมอย่างง่ายดายอีกต่างหาก ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยของคนอย่างพ่อเลี้ยงศาสตราเลย
“ไม่อยากกลับเหรอถึงได้ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หรืออยากให้ผมกอดอีก” เขาก้มลงมากระซิบใกล้ๆ หู และถือโอกาสปัดปลายจมูกโด่งลงบนแก้มนวลเหมือนหยอกล้อ ปลุกให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ทันที
“บ้า!”
ภัคธีมาได้สติก็รีบผลักเขาออกห่างพลางมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าไม่มีใครสนใจคู่ของเธอ
มือเล็กหยิบเอากระเป๋าถือของตัวเอง ก้าวฉับๆ ออกจากผับ แล้วมองหาแท็กซี่เพื่อเรียกให้ไปส่งที่บ้าน แต่ก็ยังช้ากว่าร่างสูงที่ก้าวตามมาติดๆ เมื่อถึงตัวมือแกร่งก็ฉวยข้อมือเล็ก กึ่งลากกึ่งจูงให้เดินตามไปที่รถของเขา เมื่อถึงรถศาสตราจัดการเปิดประตู ดันร่างบางให้เข้าไปนั่งข้างใน โดยไม่สนใจว่าเธอจะมีอาการฮึดฮัดแค่ไหน
แอร์เย็นๆ และความเงียบในรถไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเธอเย็นลงเลย ใบหน้าสวยหวานตวัดไปมองคนที่นั่งประจำที่คนขับอย่างโกรธเคือง ความหยิ่งทะนงซึ่งมีอยู่ในตัวเสมอ บัดนี้ถูกเขาเหยียบย่ำด้วยการกระทำและคำพูดของคนร้ายกาจจนแทบไม่เหลืออะไรให้หยิ่งอีกแล้ว
“ทำไมมองผมเหมือนจะฆ่าแบบนั้น”
“ถ้าฆ่าคนแล้วไม่ผิดกฎหมาย ขิมจะฆ่าคุณตอนนี้เลย”
“หึ หึ” เขาหัวเราะในลำคอพลางบังคับรถให้แล่นออกจากลานจอด “แน่ใจเหรอว่าอยากให้ผมตาย”
“ไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อน” เธอตอบโต้อย่างเกรี้ยวกราด มือกำเข้าหากันแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์ ที่เหลืออีกเพียงนิดเดียวมันก็จะขาดผึงเพราะทั้งถูกยั่วถูกหยาม
“คนพูดแบบนี้เสียใจมาหลายคนแล้วนะ เวลาที่กลืนน้ำลายตัวเอง”
“แต่ขิมจะเป็นคนแรก ที่จะไม่เสียใจถ้าคุณตายจริงๆ ขิมจะจัดงานฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนพร้อมกับงานสวดศพของคุณเลย คอยดูสิ”
“ตายแล้วจะดูได้ยังไง หรือต้องให้มาหาในสภาพของวิญญาณ”
“คนอย่างคุณพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรอก”
“แล้วต้องพูดภาษาอะไรดี ภาษากายดีไหม ผมว่าเราน่าจะเข้ากันได้ดีนะ”
“เลว!”
“ผมก็เป็นคนเลวที่รักเธอไง”
“หยุดพูดพล่อยๆ แบบนั้นเสียที ก่อนที่ขิมจะเกลียดคุณไปมากกว่านี้”
“ถึงไม่พูดคุณก็เกลียดผมอยู่ดี”
“คุณต่างหากที่เกลียดขิม ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงทุนมาขัดขวางขิมกับพี่วินแบบนี้หรอก แต่รู้ไว้เลยนะว่าขิมไม่เคยอยากอยู่ใกล้คนร้ายกาจอย่างคุณแม้แต่เสี้ยววินาที”
“ยังไงคุณก็ต้องได้อยู่กับผมภัคธีมา อย่างน้อยก็ได้อยู่ร่วมบ้านกันแน่ๆ ‘ถ้า’คุณได้แต่งงานกับไอ้วิน”
ศาสตราเน้นคำว่า ‘ถ้า’ เป็นพิเศษ ทำให้ภัคธีมาเชิดหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเย้ยหยัน จริงอยู่ว่าฐานะของครอบครัวเธอด้อยกว่าครอบครัวภูวเดชาธรมาก มากชนิดเทียบกันไม่ติดฝุ่นเลยก็ว่าได้ ไร่เดชาธรใหญ่โตกินอาณาเขตหลายร้อยไร่ ขณะที่บ้านไร่ของครอบครัวเธอมีพื้นที่เล็กๆ เพียงแค่สิบไร่เท่านั้น แต่เธอก็มั่นใจในความรักที่มั่นคงระหว่างเธอกับธาวิน
“ไม่ต้องใช้คำว่าถ้าหรอกค่ะ ยังไงขิมกับพี่วินก็จะได้แต่งงานกัน เพราะฉะนั้นคุณควรจะให้เกียรติขิมบ้าง”
“ออกตัวแรง ระวังจะหัวทิ่มเอาล่ะ”
“ขิมไม่ได้ออกตัวแรง แค่มั่นใจในความรักของตัวเองกับพี่วินเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็เลยไม่กลัวหัวทิ่ม”
“ไว้ผมจะรอดูตำนานรักก็แล้วกัน แต่ถึงจะทิ่มก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวเจ็บ เพราะผมรอรับอยู่”
“ขิมยอมหัวทิ่ม ดีกว่าต้องได้รับความช่วยเหลือจากคุณ” ใบหน้าสวยหวานเชิดขึ้นหลังจากตวัดมองแรงไปทางเขา
“ห่างกันตั้งหลายปี ถามจริงแอบมีกิ๊กหรือว่าเคยนอกใจไอ้วินมันบ้างหรือเปล่า”
คำถามนั้นยังคงเป็นคำถามที่ฟังดูเหมือนจงใจหาเรื่องเช่นเดิมในความรู้สึกของภัคธีมา ใบหน้าสวยหวานจึงหันขวับไปมองหน้าเขาอย่างขุ่นเคืองอีกที
“พูดให้ดีๆ นะคะ ขิมไม่ใช่ผู้หญิงมักมากแบบนั้น ขิมรักพี่วินคนเดียวและไม่เคยคิดจะรัก หรือมองผู้ชายคนไหนอีก”
“คงรักไอ้วินมากสินะ”
“ก็แน่สิคะ คนเป็นแฟนกันถ้าไม่รักกันแล้วจะให้รักใคร”
“ช่างเป็นผู้หญิงที่บูชาความรักจริงๆ แต่เชื่อได้แค่ไหนก็ไม่รู้”
ภัคธีมาหันขวับไปมองเขาตาขวาง เมื่อรู้สึกว่าเขาเหมือนกำลังเย้ยหยันอะไรสักอย่าง แต่เธอก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร รู้แต่ว่ารอยยิ้มนั้นของเขามันช่างหน้าตบนัก!
“จะเชื่อไม่เชื่อมันก็เรื่องของคุณ เพราะคุณไม่ใช่คนที่ขิมแคร์ว่าจะคิดยังไง”
ศาสตราส่ายศีรษะยิ้มๆ เมื่อเห็นภัคธีมาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หากแต่เขายังสนุกที่จะยั่วแหย่ให้อารมณ์ของเธอขุ่นมัว
“ไอ้ที่ทำเสียงแบบนี้นี่...” พ่อเลี้ยงแห่งไร่เดชาธรลากเสียง แล้วหันมาจับจ้องด้วยสายตาคมกริบราวกับค้นหาพิรุธ “โกรธจริงๆ หรือทำเพื่อกลบเกลื่อนความผิด”
“ขิมไม่จำเป็นต้องสาธยายอะไรให้คนที่หาความคนอื่นเก่งอย่างคุณฟังให้เปลืองน้ำลาย”
“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชม”
“กรุณาให้เกียรติขิมบ้าง ขิมเป็นแฟนพี่วิน พอขิมแต่งงานกับพี่วินขิมก็จะมีสถานะเหมือนน้องสาวของคุณ”
“น้องสาวอย่างงั้นเหรอ!?!” ศาสตราทวนคำนั้นทันที “ผมไม่ได้อยากมีน้องเพิ่มเลยสักนิด แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นก็ไม่แน่”
ภัคธีมาโกรธจนหน้าแดง มือเล็กจิกลงบนกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนตักเต็มแรง ถ้าไม่อย่างนั้นคงได้กระโจนเข้าไปข่วนหน้าหล่อๆ ของเขาเป็นแน่ เธอเชิดหน้าใส่ เกลียดหน้ายิ้มๆ แบบนั้นมากที่สุด คงคิดว่าตัวเองมีเสน่ห์ที่ใครๆ ก็ต้องหลงใหลได้ปลื้มไปหมดสินะ!