๑.๓ จุมพิต(ไร้)สิเน่หา
ธาวินพาภัคธีมามายังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขานั่งฟังภัคธีมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ในระหว่างออดิชันจนกระทั่งผ่านเข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขันร้องเพลงรายการใหญ่ระดับประเทศ รอยยิ้มของภัคธีมาเต็มไปด้วยความสดใสและมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแทรกเป็นระยะ เมื่อเล่าถึงวีรกรรมของตัวเองตอนอยู่ต่อหน้ากรรมการ
“เล่ามาเยอะแล้วแต่ยังไม่จบนะคะ ขิมว่าขิมเก็บไว้เล่าให้พี่วินฟังวันหลังบ้างดีกว่า ขิมกลัวพี่วินจะเบื่อขิมซะก่อน”
“พี่ไม่มีวันเบื่อขิมหรอก”
“ลองเบื่อดูสิ ขิมงอนจริงๆ ด้วย”
“ไม่เบื่อครับ พี่พูดจริงๆ” ธาวินคลี่ยิ้มให้กับแฟนสาว สายตาเขาที่มองเธอยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่คล้ายกับจะเศร้าอยู่นิดๆ ซึ่งภัคธีมาเข้าใจว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะเขารู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปหาเธอที่กรุงเทพฯ และไม่ได้โทร.หาในช่วงหลังๆ เห็นแบบนี้ภัคธีมาจึงต่อว่าไม่ลง และรู้สึกว่าธาวินคงทำงานหนักมากจริงๆ เธอสังเกตว่าใบหน้าหล่อเหลาที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้เหมือนจะตอบลงไปกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน
“แล้วพี่วินล่ะคะเป็นยังไงบ้าง งานยุ่งมากเลยเหรอคะ ขิมว่าพี่วินผอมไปนะ”
“เหรอ...พี่ก็ไม่ค่อยได้ชั่งน้ำหนักเท่าไหร่”
“คงจะหักโหมงานสินะคะ เหนื่อยมากไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างเห็นใจ พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างอย่างให้กำลังใจ
“ก็นิดหน่อยครับ แล้วนี่ขิมอิ่มหรือยัง”
“อิ่มแล้วค่ะ พี่วินจะกลับเลยเหรอคะ”
“เปล่าหรอก...พี่อยากพาขิมไปฟังเพลงก่อน พอย่อยแล้วค่อยกลับบ้านกันกันนะ”
“ได้สิคะ ว่าแต่พี่วินจะพาไปที่ไหน”
“ร้านใกล้ๆ แถวนี้แหละ เพิ่งเปิดใหม่เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง”
“รู้ดีแบบนี้...” ดวงตาคู่สวยหรี่ลงอย่างจับพิรุธ “แสดงว่าตอนขิมอยู่กรุงเทพฯ พี่วินต้องแอบมาเที่ยวบ่อยๆ ใช่ไหมคะ”
“เปล่าครับ ร้านนั้นน่ะ เป็นร้านเพื่อนของพี่กริช”
ชื่อนั้นทำให้รอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่ทั่วใบหน้าหวานหายวับไปทันที แต่ก็เพียงแวบเดียวเธอก็บอกตัวเองให้ยิ้มใหม่ อย่าให้ชื่อของคนคนเดียวมาทำลายบรรยากาศอันแสนโรแมนติกระหว่างเธอกับธาวินเลย
จากนั้นรถของธาวินก็แล่นไปจอดที่หน้าผับหรูแห่งหนึ่ง ภายในตกแต่งด้วยไฟวอร์มไลต์สีส้มสลัวๆ ให้บรรยากาศแสนอบอุ่น มีดนตรีคลอเคล้าแผ่วเบา ความหรูหราบ่งบอกว่าผับแห่งนี้มีไว้สำหรับคนมีฐานะ เพราะค่าเครื่องดื่มและอาหารจากรายการที่ภัคธีมาเห็นเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดี แต่กระนั้นแขกในร้านก็ค่อนข้างเยอะเพราะเป็นคืนวันอาทิตย์ ธาวินหันไปสั่งเครื่องดื่ม ครู่หนึ่งจึงชวนภัคธีมาออกไปเต้นรำซึ่งภัคธีมาก็ไม่ได้ปฏิเสธ
วงแขนแกร่งกระชับรอบเอวบางเข้าไปแนบชิดในขณะพาเธอขยับไปตามจังหวะเพลง โดยไม่รู้ว่าขณะนั้นสายตาคู่หนึ่งกำลังหรี่มองทั้งคู่อย่างไม่คลาดสายตา
“ไม่ได้เต้นรำกับพี่วินนานเลยนะคะ น่าจะสามปีแล้วตั้งแต่พี่วินไปเรียนต่อ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพลางเงยหน้าจ้องมองใบหน้าหล่อคมของธาวิน เค้าหน้านี้คล้ายกันกับเค้าหน้าของพี่ชาย เรียกได้ว่าบ้านนี้น่าตาดีทั้งบ้านก็ไม่ผิดนัก จะต่างกันก็แค่ธาวินหล่อแบบโอปป้าเกาหลี ขณะที่ใครอีกคนหล่อเข้มๆ และชอบทำหน้าดุใส่ใครต่อใคร จนทำให้ความหล่อในตัวเขาลดน้อยลงไปมากตามความคิดของภัคธีมา
“ใช่นานเลยละ ตั้งแต่พี่ไปเรียนต่อแถมตอนนี้ขิมก็ไปเรียนอีก”
“พี่วินรออีกนิดนะคะ ขอให้ขิมทำตามความฝันและเรียนให้จบก่อน หลังจากนั้นขิมจะย้ายกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่แบบถาวร มาอยู่กับพี่วินที่นี่ตลอดไป เหมือนที่เราเคยสัญญากันไว้ไงคะ”
ภัคธีมาเอ่ยอย่างอ้อนๆ แล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างเบาๆ แต่นั่นมีผลทำให้ธาวินรัดกระชับวงแขนของตัวเองเข้ามากขึ้น ราวกับกลัวว่าเธอจะหนีจากเขาไปเสียอย่างนั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจในปฏิกิริยาของแฟนหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“เป็นอะไรไปคะพี่วิน”
“หืม...อะไรครับ” ธาวินพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ ตามองริมฝีปากอิ่มซึ่งตอนนี้เผยอขึ้นน้อยๆ นั้นอย่างหักห้ามใจมากที่สุด
“ก็กอดขิมซะแน่นเชียว”
“คิดถึงไงครับ อยากให้ขิมรู้ว่าพี่คิดถึง”
วงแขนของเขาไม่ได้คลายลงเลย ยังคงโอบกระชับแน่นเหมือนเดิม แน่นเสียจนภัคธีมารู้สึกว่าตัวเองอึดอัด แต่ก็พยายามรักษาสีหน้าให้ยิ้มแย้มเอาไว้เพราะไม่อยากให้คนรักคิดมาก
“รับทราบแล้วค่ะ ขิมเองก็คิดถึงพี่วินเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เราไปพักก่อนไหมคะ แล้วค่อยมาเต้นรำกันต่อ”
“โอเคครับ ตามใจขิม”
ธาวินค่อยๆ คลายวงแขนออก แล้วพาหญิงสาวกลับไปโต๊ะ แต่เมื่อไปถึงเท้าสองคู่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าใครคนหนึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“พี่กริช!” ธาวินอุทานชื่อพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอาการตกใจไม่น้อย
ภัคธีมาเองก็ตะลึงไปเหมือนกัน เมื่อสายตาปะทะกับเจ้าของร่างสูงเกือบสองเมตร แม้จะไม่ค่อยได้เจอกันแต่เธอจำได้แม่นว่าเขาคือ ‘ศาสตรา ภูวเดชาธร’ ผู้ชายซึ่งเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง เชื่อมั่นในตัวเองสูง ดิบเถื่อนและแข็งกระด้างเป็นที่สุด!
คำว่าดิบเถื่อนและแข็งกระด้าง มันคือสิ่งที่เธอนิยามขึ้นสำหรับผู้ชายคนนี้โดยเฉพาะ ยิ่งตอนนี้เขาก็ยิ่งดูเหมาะกับคำนี้มากที่สุด ร่างสูงแต่งตัวแบบสบายๆ ด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนและรองเท้าหนัง ดูบึกบึนกำยำกว่าตอนที่เธอเจอเขาครั้งล่าสุดเมื่อหลายเดือนก่อนเสียอีก แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือหน้าตาคมเข้มและน่าเกรงขาม สมกับที่ใครๆ เรียกเขาว่า ‘พ่อเลี้ยงศาสตรา’
เขามาได้ยังไง? หรือว่ามากีดกันเธอกับพี่วิน?
คำถามเกิดขึ้นในใจรัวๆ แต่สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือยกมือขึ้นไหว้เขา แม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความเอ็นดูใดๆ ให้กับเธอ และเธอก็ค่อนข้างจะเกลียดความหยิ่งทะนงของเขา แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นลูกชายของเจ้านายเก่าพ่อ และที่สำคัญเขาคือพี่ชายของธาวินคนรักของเธอ
“สวัสดีค่ะ”
ภัคธีมายกมือขึ้นไหว้เขาตามมารยาทแม้จะไม่อยากไหว้สักนิด การไหว้ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความเคารพนับถือ แต่เป็นมารยาทอันพึงกระทำมากกว่า
ศาสตราไม่ได้รับไหว้ แต่หันไปหาน้องชาย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“สนุกไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้วยคำถามธรรมดา หากแต่มีผลทำให้ธาวินหน้าเจื่อนไปถนัดตา จนคนยืนมองรู้สึกฮึดฮัดขัดใจยิ่งนักที่แฟนหนุ่มทำท่าหงอพี่ชายแบบนั้น
“สนุกครับ พี่กริชมาเที่ยวด้วยเหรอ”
“ฉันมีสิทธิ์มาไม่ใช่หรือไง แต่ฉันว่านายควรกลับบ้านได้แล้ว เพราะพรุ่งนี้มีงานแต่เช้า” เขาพูดเหมือนออกคำสั่ง
“ผมต้องไปส่งขิมกลับบ้านก่อน”
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวฉันจะไปส่งให้”
ธาวินหันมาทางแฟนสาวพลางทำสีหน้ายุ่งยากใจ
“ไม่เอานะคะพี่วิน ขิมจะให้พี่วินไปส่ง” ภัคธีมารีบแย้งขึ้นและส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“วินมีธุระต้องรีบกลับบ้านพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้มีงานแต่เช้า”
“งานอะไรกันคะถึงต้องรีบนอนและต้องตื่นแต่เช้าขนาดนั้น”
ภัคธีมาถามคนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงห้วนจัด ตอนนี้เธอกำลังโกรธจัดที่ศาสตราทำท่ามาวางอำนาจใส่แบบนี้ ตาสองคู่สบประสานกันอย่างไม่ลดละท่ามกลางไฟสลัว
“แน่ใจเหรอว่าคุณอยากรู้” ใบหน้าคมคายยิ้มแย้มหากแต่เสียงนั้นติดหยันๆ
“ผมจะกลับเดี๋ยวนี้ละครับพี่กริช” ธาวินรีบตัดบทอย่างลนลาน “ผมฝากพี่กริชดูแลขิมด้วย ผมขอร้องนะพี่กริช อย่าพูดอะไรให้ขิมไม่สบายใจ”
“พี่วิน!” ภัคธีมามองหน้าคนรักอย่างตัดพ้อและน้อยใจที่เขายอมพี่ชายง่ายๆ และยังคิดจะทิ้งเธอไว้กับผู้ชายอื่นอีก
“พี่ขอโทษนะขิม แต่พี่ต้องกลับแล้ว”
ธาวินหันมาบอกอย่างอ่อนโยนและขอลุแก่โทษ ก่อนจะรีบหันหลังแล้วเดินออกไปจากผับแห่งนั้นทันที ภัคธีมาได้แต่มองตามอย่างน้อยใจและผิดหวัง ที่เขาทิ้งเธอให้อยู่เผชิญหน้ากับซาตานร้ายอย่างศาสตราเพียงลำพัง
“คุณแกล้งขิมใช่ไหม” ภัคธีมาหันมาต่อว่าคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทันที เธอคิดเหตุผลอื่นต่อการกระทำของศาสตราไม่ออกจริงๆ นอกจากต้องการกลั่นแกล้ง เพื่อกีดกันเธอให้ออกห่างจากธาวิน เขาไม่อยากได้เธอเป็นน้องสะใภ้ เพราะเห็นว่าครอบครัวของเธอมีฐานะที่ด้อยกว่ามากเหลือเกิน หากเทียบกับความยิ่งใหญ่ของตระกูลภูวเดชาธร
“แกล้งอะไร”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หน่อยเลย คุณคิดว่าตัวเองมีอำนาจบาตรใหญ่นักหรือไง ถึงได้บังคับให้คนอื่นทำโน่นทำนี่ตามคำสั่งของตัวเอง!”
“ผมไม่ได้บังคับ นายวินมันกลับเอง”
“แต่พี่วินพาขิมมา ก็ต้องเป็นคนพาขิมกลับสิ”
“ที่โวยวายเนี่ยเพราะยังอยากเต้นรำกับไอ้วินต่องั้นสิ เมื่อกี้เห็นกอดกันซะกลมดิกแบบไม่อายสายตาใครเลยนี่”
เขาชะโงกหน้ามาถามปลายจมูกโด่งอยู่ห่างจากพวงแก้มอิ่มไม่ถึงนิ้ว ภัคธีมาโกรธกรุ่นกับกิริยาและวาจาอันหยาบคายที่เขาจงใจเชือดเฉือนให้เธอเจ็บใจเล่น เธอจึงพูดจาประชดประชันแบบยั้งอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
“ใช่! ขิมอยากเต้นรำกับพี่วินต่อ อยากกอดกับแฟนอวดชาวบ้าน ชาวบ้านจะได้อิจฉาความหวานของเราสองคนไงคะ ได้ยินแบบนี้แล้วคุณพอใจหรือยัง”
“งั้นไปลองเต้นรำอวดชาวบ้านกับว่าที่พี่ผัวหน่อยเป็นไง เผื่อชาวบ้านจะเข้าใจว่าเราสองคนเป็นแฟนกันและอิจฉาความหวานของเราบ้าง”
“หยาบคาย!”
“ผมหยาบได้มากกว่านี้อีกภัคธีมา”