ตอนที่ 5 คัมภีร์กระบี่สวรรค์[1]
ในยุทธภพ มีตำนานเล่าขานกันต่อมาหลายชั่วอายุคน เรื่องของกระบี่เทวะ และคัมภีร์กระบี่สวรรค์ ที่จอมยุทธท่านหนึ่งสร้างมันขึ้นมาเพื่อกำราบวิชามารเก้าเศียร หรือเรียกอีกชื่อหนึ่ง ว่าเก้าดาบเดียวดาย
ว่ากันว่าหากผู้ใดได้ครอบครองทั้งสองสิ่งพร้อมกัน จะสามารถสังหารคนนับพันได้ในดาบเดียว
เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ เพราะไม่มีผู้ใดเคยได้ครอบครองทั้งสองพร้อมกันมาก่อน อย่าว่าแต่พร้อมกันเลย แม้แต่อย่างใดอย่างหนึ่งยังไม่เคยมีใครเห็น
จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ข่าวการค้นพบคัมภีร์กระบี่สวรรค์บนหุบเขาพานโฉว ทำให้ยุทธภพเกิดการนองเลือด แต่สุดท้ายกลับไม่มีผู้ใดได้เห็นมัน
เช้าวันนี้ในหมู่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ชายสามคนที่ชิงหลิงเจอเมื่อวานกลายเป็นศพถูกหมกอยู่ในป่าข้างทาง ว่ากันว่าถูกสังหารในดาบเดียว
ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองหญิงชรา เห็นท่านยายยังนั่งจัดผักใส่ตะกร้าให้นางตามปกติก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอหันกลับมายังไม่ถึงอึดใจ
"หญิงหม้ายก่อนหน้าที่เจ้าจะมา ไม่ได้ถูกขับออกจากหมู่บ้าน" เสียงแผ่วเบาของแม่เฒ่า ทำให้นางต้องหันกลับไปอีกครั้ง "หญิงผู้นั้นถูกบุรุษแทบจะทุกคนที่นี่ขืนใจจนตาย จากนั้นก็นำศพไปโยนทิ้งหน้าผา เดิมทีข้าไม่อยากจะสนใจ หากเดียรัจฉานพวกนั้นไม่มายุ่งกับเจ้า"
"ท่านยาย" ชิงหลิงรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก อดที่จะยกมือลูบไปยังปานแดงที่ท่านยายเป็นคนติดมันให้นางตอนได้รับบาดเจ็บไม่ได้
"ระวังตัวหน่อย ช่วงนี้เจ้าไม่อาจใช้พลังยุทธได้ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง"
"เจ้าค่ะ"
งานเลี้ยงในหอละครว่ากันว่าจัดกันถึงสิบวันสิบคืน เพราะไม่เพียงซ่านป๋อจะต้อนรับลูกเขย ยังต้อนรับอวิ้นอ๋อง ทำให้หอละครเหมาข้าวของในตลาดสดไปเกือบหมดทุกวัน
วันนี้หลี่ถงเยี่ยส่งรถม้ามารับนางเข้าเมือง แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปอยู่ที่ใด
ชิงหลิงลงจากรถม้าที่ประตูข้างของหอละคร ใจหนึ่งนางไม่อยากปรากฏตัวที่นี่นัก แต่อีกใจหนึ่งก็อยากมา และอีกอย่างคนบังคับรถม้าบอกว่าคุณชายหลี่รอนางอยู่ที่นี่
ประตูด้านนี้ยังมีผู้คนหนาแน่นเช่นเคย ส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้าแม่ค้าที่เอาของมาส่ง ชิงหลิงยังได้พบกับป้าขายผักร้านข้างๆ จึงนั่งรอไปพร้อมกัน จนกระทั่งถึงเวลาให้นมบุตร
นางไม่กล้าที่จะขึ้นไปหาหลี่ถงเยี่ยเพราะคนบังคับรถม้า บอกแค่ว่าคุณชายของเขาอยู่ที่นี่ แต่ไม่ได้บอกว่าให้นางไปหา ชิงหลิงจึงตัดสินใจที่จะเดินไปที่ซอกกำแพงหลังตลาด แต่ไม่อาจเดินฝ่าผู้คนออกประตูข้างไปได้
อาการปวดของสองเต้าก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกที นางจึงตัดสินใจเข้าไปในหอละครเช่นเดิม เพื่อหวังจะเดินผ่านไปออกทางประตูหน้า แต่ครั้งนี้ ชิงหลิงใช้ผ้าโพกศีรษะเอาไว้
จากประตูหลัง จะมีทางแยกอยู่สามทาง หากเลี้ยวขวาจะเป็นบันได ถ้าตรงไปจะเป็นห้องแต่งตัวของพวกนางละคร และหากเลี้ยวซ้ายจะออกไปยังโถงชั้นล่างที่มีเวทีการแสดงตั้งอยู่
ชิงหลิงเลือกเดินไปทางซ้าย พึ่งจะโผล่พ้นผนังไม้มาได้ไม่เท่าไหร่
"นี่ใครให้เจ้าเข้ามาที่นี่ รีบออกไปเร็ว!" เสียงโวยวายของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้ชิงหลิงตกใจจนผงะถอยหลังไปชนเข้ากับใครบางคนที่พึ่งลงจากบันไดมา
"อ๊ะ!"
"ว๊าย! ตายแล้ว! นางคนชั้นต่ำ ยังไม่รีบไปอีก!" หญิงสาวคนเดิมรีบเข้ามาไล่นาง พร้อมกับยอบกายขอโทษขอโพยคนผู้นั้นอย่างลนลาน "นายท่านลู่ บ่าวต้องขออภัยเจ้าค่ะ"
แต่นามของคนด้านหลังกลับทำให้ชิงหลิงยืนนิ่งค้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ฝ่ามือยกขึ้นขยับผ้าที่โพกเอาไว้ตามสัญชาตญาณ
พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนผู้นั้นเดินจากไป ชิงหลิงถึงได้ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
"เจ้ายังมายืนเซ่ออะไรอยู่อีก!"
"ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ" ร่างบอบบางรีบสาวเท้าตรงไปยังประตูหน้าอย่างรวดเร็ว แต่พอพ้นประตูออกมา นางก็ต้องตกใจสุดขีด ทั้งคนทั้งม้า เต็มลานกว้างของหอละครไปหมด
แต่ต่อให้เบื้องหน้ามีคนมากแค่ไหน สายตาของชิงหลิงก็ยังมองเห็นเพียงคนคนเดียวอยู่ดี ไม่ว่าจะกี่ปีก็เป็นเช่นนี้
"หลิงเอ๋อ?"
ร่างสูงโปร่งก้าวออกมาจากกลุ่มคน ตรงเข้ามาหานางด้วยท่าทางประหลาดใจ ทำให้ชิงหลิงรีบเก็บสายตากลับอย่างรวดเร็ว "เจ้ามาทำอันใดที่นี่?"
"อาถง นี่เจ้าอย่าบอกนะว่าจะพานางไปด้วย" หญิงสาวยังไม่ทันได้ตอบ เสียงของชายหนุ่มอีกคนก็ดังขึ้นเสียก่อน
หลี่ถงเยี่ยไม่รู้จะตอบสหายเช่นไร ครั้นจะปฏิเสธไป ชิงหลิงคงจะเสียหน้าไม่น้อย แต่จะให้ตอบรับ ตนเองก็ต้องเป็นฝ่ายเสียหน้าเอง เพราะที่นี่ ไม่ได้มีแค่คนใหญ่คนโต แต่ยังมีบิดาและพี่น้องของเขาอยู่ด้วย